Monday, 29 February 2016

วิธีเขียนเรซูเม่สมัครงานกับฝรั่ง

วันนี้พี่ล่ามอยากเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีเขียนเรซูเม่ในแบบฉบับที่ฝรั่งต้องการอ่าน ก่อนอื่นพวกเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าชีวิตการเรียนและการทำงานของคนที่ออสเตรเลียต่างจากบ้านเราเยอะมาก ถึงแม้จะมีเด็กที่จบม.6 เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเยอะขึ้นก็ตาม ประสบการณ์การทำงานก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นในการสมัครงาน ถึงแม้จะเป็นเด็กจบใหม่แต่เด็กที่นี่อย่างน้อยมักมีประสบการณ์ทำงานพิเศษเพื่อหารายได้จุนเจือค่าเรียนของตัวเอง หรือมีประสบการณ์ทำงานตรงกับวิชาเอกที่เรียนตามหลักสูตร (บางคอร์สบางวิชาจะมีข้อบังคับให้ทำงานตามสายวิชานั้น ๆ และผลประเมิณงานจากหัวหน้าก็เป็นส่วนหนึ่งในการวัดเกรด เข้าใจว่าเป็นระบบ Graduate program หรือ Intern) ดังนั้นแทบทุกคนจะมีประสบการณ์การทำงานมาแล้วก่อนจะเริ่มต้นหางานอย่างจริงจัง ที่คนที่นี่มักต้องทำงานตั้งแต่สมัยเรียนก็เพราะว่าเด็กที่นี่หลาย ๆ คนพอจบม.6 แล้วมักจะเดินทางท่องเที่ยวเก็บประสบการณ์ก่อน ก่อนที่จะเริ่มเรียนมหาลัยหรือหางานทำ เด็กหลาย ๆ คนจึงเริ่มทำงานพิเศษเก็บเงินค่าเที่ยวตั้งแต่สมัยอยู่ม.ปลาย ส่วนเด็กมหาลัยมักต้องทำงานพิเศษอยู่แล้วเนื่องจากเด็กที่นี่รักความอิสระ ต้องการออกมาอยู่ด้วยตัวเอง จึงต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย หาเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน สมัยที่พี่ล่ามเริ่มทำงานออฟฟิสตอนมาอยู่ใหม่ ๆ หัวหน้าพี่ล่ามจบแค่ม.6 เอง แต่ทำงานมาหลายปีและได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อย ๆ จากประสบการณ์

เมื่อรู้ถึงเบื้องหลังแล้วเราก็คงพอจะเดาออกว่าคนที่นั่งอ่านเรซูเม่วันละหลายสิบฉบับนั้น เค้าต้องการหาอะไรในตัวผู้สมัคร สรุปง่าย ๆ ประสบการณ์ที่ตรงกับสายงานนั่นแหล่ะค่ะ ปริญญาไม่มีส่วนสำคัญเท่าไหร่เลยโดยเฉพาะถ้าในประกาศงานไม่ได้บอกไว้ว่าต้องจบอะไร

นอกจากนี้ ประกาศงานที่นี่ยังไม่สนใจว่าผู้สมัครเป็นเพศหญิงหรือชาย อายุเท่าไหร่ แต่งงานหรือยัง เพราะกฏหมายแรงงานที่นี่แรง ดังนั้นคนเขียนประกาศงานมักจะเลี่ยงการพาดพิงถึงสิ่งที่เป็นการแยกแยะผู้สมัครจากความสามารถ และเช่นเดียวกันเค้าจะไม่เรียกคนที่ลงรายละเอียดเหล่านี้มาสัมภาษณ์ เพราะไม่งั้นบริษัทอาจถูกโจมตีได้ว่าไม่ยอมรับผู้หญิงที่แต่งงานหรือมีลูกแล้วเข้าทำงานหากผู้สมัครเหล่านั้นไม่ผ่านสัมภาษณ์ถึงแม้ว่าเค้าจะเลือกดูแค่ทักษะก็ตาม และตามหลักกฎหมายของที่นี่บริษัทไม่สามารถสอบถามข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้จากผู้สมัคร เนื่องจากผิดกฎหมายแรงงาน น้อง ๆ ที่เคยลองอ่านประกาศสมัครงานของที่นี่ดูคงจะพอจำได้ว่าประกาศงานที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยบอกว่ารับผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ถามหาอายุหรือสถานภาพสมรส และไม่ค่อยเจาะจงว่าจะต้องจบอะไรมา ส่วนใหญ่มักพูดถึงประสบการณ์มากกว่า

กว่าพี่ล่ามจะจับทางถูกก็ร่อนเรซูเม่ไปหลายบริษัทเหมือนกันค่ะ ใครจะไปรู้ ก็งานบ้านเราส่วนใหญ่ก็ลงว่ารับอายุเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ เราก็ใส่มันให้หมดเลย ที่ไหนได้ เรซูเม่เราคงลงก้นถังทุกครั้ง พอจับทางถูกก็นั่งเขียนเรซูเม่ใหม่หมด แล้วก็เริ่มได้รับนัดไปสัมภาษณ์

สิ่งที่พี่ล่ามเห็นในเรซูเม่ของน้อง ๆ คนไทยส่วนใหญ่ก็คือ เราใช้วิธีเขียนเรซูเม่ในลักษณะที่คนไทยต้องการอ่าน ซึ่งก็คือระบุเพศ สถานภาพการแต่งงาน อายุ และ การศึกษาไว้ด้านบนสุด พี่ล่ามเคยช่วยหัวหน้านั่งคัดเลือกเรซูเม่ตอนที่ทำงานที่แรก หัวหน้าลงประกาศตำแหน่งว่างไว้ 3 อัตรา งานง่าย ๆ คีย์ข้อมูลลูกค้าจากโทรศัพท์เข้าดาต้าเบส น้องเชื่อพี่เถอะค่ะ ว่าตำแหน่งหลาย ๆ ตำแหน่งในบ้านเราที่เราคิดว่าเด็กจบตรีจบโทเท่านั้นถึงจะมีโอกาสน่ะ ไม่ใช่ที่นี่แน่นอนค่ะ หัวหน้าพี่คัดเรซูเม่ของเด็กไทยออกหลายคนเลยทันทีที่เห็นระดับการศึกษา เพราะหัวหน้าคิดว่าน้อง ๆ ที่จบโทเหล่านั้น over-qualified

จะทำไงล่ะทีนี้..​ ก็เรามาที่ออสฯเพื่อมาต่อโทนี่นา แล้วจะเริ่มงานออฟฟิสได้ที่ไหน หรือจะต้องลงเอยที่ก้นครัวเหมือนตอนเรียน หรือกลับบ้านดี ..

วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้เค้าอ่านเรซูเม่ของเราก็คือ จัดลำดับให้สิ่งที่สำคัญสำหรับงานนั้นมากที่สุดไว้หน้าแรกและตอนต้นของหน้า น้อง ๆ อาจจะอยากถามว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเค้าต้องการอะไร อ่านประกาศงานให้ละเอียดค่ะ สิ่งที่เค้าต้องการอยู่ในนั้นหมด ประสบการณ์ด้านไหน กี่ปี ทักษะด้านไหนที่เค้าต้องการ และด้านไหนที่จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เอามาใส่ให้หมดในหน้าแรกเป็นแบบสรุปทักษะและประสบการณ์โดยย่อค่ะ แต่ห้ามโกหกนะคะ ถ้าเค้าจับได้ตอนสัมภาษณ์ล่ะก็ นอกจากจะหมดหวังเรื่องได้งานแล้วอาจจะได้มีกังวลเล็กน้อยถ้าหากบริษัทที่เรียกเราไปสัมภาษณ์เป็นบริษัทจัดหาพนักงาน เพราะเค้าอาจเน็ทเวิร์คถึงกันว่าชื่อนี้ ๆ แอบอ้างประสบการณ์เพื่อให้ได้งาน

เมื่อได้แนวที่ต้องการแล้วก็มาร่างเรซูเม่จากโครงสร้างพื้นฐานต่อไปนี้ค่ะ

ตอนต้นของแผ่นแรกควรมี ชื่อเต็ม ที่อยู่ อีเมล และ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ทุกเวลา เพราะฉนั้นให้เบอร์มือถือไปเลยค่ะ

ย่อหน้าถัดมาก็เป็นการอธิบายตัวเองโดยย่อ อธิบายตัวเองนี่ไม่ได้หมายถึงว่าเราเป็นใคร มาจากไหนนะคะ แต่เน้นถึงตัวเราที่เกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานและทักษะที่สำคัญสำหรับงานที่เราสมัคร ย่อหน้านี้เรียกง่าย ๆ ว่า Summary

ถัดลงมาคือทักษะและความสามารถที่ตรงกับงานที่เค้าต้องการ จะเขียนยังไงนี่แล้วแต่สะดวกค่ะ เป็นหัวข้อลงมา หรือจะเป็นประโยคคั่นด้วยตัวคอมม่า แต่พี่แนะอย่างหลังดีกว่าค่ะ เพราะประหยัดเนื้อที่ จะได้มีที่ว่างด้านล่างพอสำหรับประวัติงานล่าสุดของเรา

ถัดจากนี้เราก็สามารถลงประวัติการศึกษาได้ ข้อควรสังเกตก็คือ ถ้าหากประกาศงานไม่ได้ลงระดับการศึกษาที่ต้องการก็แปลว่าเค้าไม่เน้นความสำคัญในดีกรีที่เราจบมาเท่ากับประสบการณ์ แต่ถ้าเราจบมาตรงเป๊ะ และประสบการณ์ของเราไม่แข็งแรงพอก็เอาการศึกษาขึ้นมาไว้ตรงนี้ได้ ถ้าดีกรีที่เราจบมาไม่ค่อยตรง แถมจบสูงอีกต่างหาก (ปริญญาโทที่นี่ถือว่าสูงค่ะ คนที่นี่ส่วนใหญ่ยังเลือกเรียนปริญญาโทเพื่อเป็นการสร้างเสริมหน้าที่การงานมากกว่าที่จะเรียนทันทีหลังจบตรี ดังนั้นเราจึงเห็นนักเรียนโทฝรั่งที่แก่กว่าเราเยอะ) ก็เอาดีกรีไปไว้ด้านล่างต่อจากประสบการณ์ ซึ่งก็หมายถึงหน้าที่ 2 หรือ 3 ไปแล้ว ถ้าคนอ่านอ่านมาถึงหน้านี้ก็แปลว่าเค้าประทับใจในส่ิงที่อ่านพอสมควรแล้วค่ะ

ถัดลงมาคือประสบการณ์ พยายามให้คำอรรถาธิบายให้มาก ๆ แต่แค่ 3 ตำแหน่งล่าสุดเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่ต้องระบุนอกเหนือจากตำแหน่งที่เราทำงาน ระยะเวลาในตำแหน่งนั้น ชื่อบริษัท และหน้าที่หลักในตำแหน่ง สิ่งที่คนอ่านต้องการจากเรซูเม่ของเรามากกว่านั้นคือ ความสำเร็จหรือผลงานโดดเด่น (Achievement) ผลงานในที่นี้ไม่ใช่แค่ว่าเราทำหน้าที่ได้ตามที่บริษัทต้องการนะคะ บอกก่อนเลยว่าไม่ว่าบริษัทไหน ๆ ก็อยากได้พนักงานที่ทำงานเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่แค่มาทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อย่าลืมค่ะ ว่าฝรั่งมีวัฒนธรรมการทำงานที่ต่างจากเรา เค้าไม่ต้องการคนที่มานั่งรอรับคำสั่ง เค้าต้องการคนที่พร้อมลุย กล้าตัดสินใจ กล้านำเสนอ ระบบอาวุโสของฝรั่งไม่มีค่ะ ไม่เหมือนบ้านเรา ไม่ต้องกลัวว่าจะไปเหยียบเท้าหรือถอนหงอกคนที่อยู่มาก่อนเรา ยิ่งเรากล้าโต้แย้งในสิ่งที่เราคิดว่าถูกเค้ายิ่งชอบ เพราะนั่นหมายถึงเราทำด้วยใจ ไม่ใช่ตามหน้าที่ เพราะคนที่ทำงานด้วยใจรักจะพาให้บริษัทโตไปด้วย สรุป สมมุติ ถ้างานเดิมเราเป็นเซลล์แล้วเราปิดยอดขายได้ตามที่บริษัทกำหนดไว้ทุกไตรมาสนี่ ในสายตาฝรั่งไม่ใช่ความสำเร็จค่ะ เค้ามองแค่ว่าเราทำงานได้ตามหน้าที่ ผลงานที่สามารถนำมาร่ายละเอียดในเรซูเม่ได้และฝรั่งอ่านแล้วจะอยากสัมภาษณ์เราทันทีก็อย่างเช่น สมมุติเป็นเซลล์ เราปิดยอดขายได้ 150% ทุกไตรมาส แถมเปิดตลาดใหม่ให้บริษัท เปิดช่องทางขายใหม่ให้บริษัท คิดโปรแกรมฝึกพนักงานขายใหม่ให้บริษัทส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในปีงบประมาณนั้น เป็นต้น เนี่ยล่ะค่ะ เค้าถึงจะเห็นศักยภาพของเราว่ามีความตั้งใจทำงานจริง ทำงานด้วยใจรักและเกินร้อย และยังส่งผลโดยรวมถึงธุรกิจของบริษัทอีกด้วย ไม่ใช่แค่มาทำตามหน้าที่ให้จบไปเดือน ๆ ได้เงินแล้วค่อยว่ากันเดือนถัดไป

หากเราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานมาพอสมควรก็ไม่ต้องแจงรายละเอียดผลงานทุก ๆ งานค่ะ เพราะสิ่งที่เค้าต้องการรู้จริง ๆ ก็คือ งานไหน ๆ ที่เราไปทำเราก็สร้างผลงานให้กับตัวเองและส่งผลถึงบริษัททุกครั้ง และที่บอกไว้แต่แรกว่าแค่ 3 ตำแหน่งล่าสุดก็เพราะ ถ้าเราสัมภาษณ์ผ่าน เค้าจะขอบุคคลอ้างอิงที่เคยทำงานกับเราไม่นานจนเกินไป ดังนั้น 3 ตำแหน่งล่าสุดนี่เหมาะที่สุดค่ะ ถึงแม้จะบริษัทเดียวกันแต่เราอาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นหัวหน้าเราก็อาจจะไม่ใช่คนเดียวกัน งานที่ 4 ย้อนไปในอดีตเราบอกแค่ระยะเวลา ตำแหน่ง บริษัท หน้าที่หลัก และผลงานเด่นที่สำคัญและ/หรือตรงกับงานที่เราจะสมัครก็พอค่ะ

เมื่อแจงรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ ผลงาน และการศึกษาแล้วก็มาถึงเรื่องอื่น ๆ อย่างเช่น ความสนใจส่วนตัว ประกาศนียบัตรวิชาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากการเป็นนักเรียน อย่างเช่น คะแนนสอบโทอิก (สำหรับงานในไทย) เป็นต้น เท่าที่พี่ศึกษามาสมัยหัดเขียนเรซูเม่ฉบับฝรั่งเนี่ย ใบรับรองอะไรมีเท่าไหร่ใส่ไปให้หมดค่ะ บ่งบอกว่าเราเป็นคนสนใจใฝ่รู้ แต่อย่าพร่ำเพร้อมากเกินไปนะคะ เอาแค่ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับสายงานที่เราสมัครพอ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นก็คือ ถ้าเราจะสมัครงานการตลาด และเราผ่านข้อสอบนักโฆษณาของกุเกิ้ลก็สามารถเอามาลงได้ แต่ใบรับรองผ่านหลักสูตรดำน้ำนี่เก็บเป็นความภาคภูมิใจของตัวเองเถอะค่ะ ใบรับรองจากความสนใจส่วนตัวแบบนี้ไม่ต้องลงในเรซูเม่แต่สามารถนำไปคุยได้ถ้ามีโอกาสในขณะสัมภาษณ์งาน ส่วนความสนใจด้านอื่น ๆ หรืองานอดิเรกอันนี้พี่ล่ามก็สองจิตสองใจค่ะ แต่ส่วนตัวแล้วพี่ล่ามคิดว่าส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องลงไว้เลย นอกเสียจากว่าเราจะสมัครงานในนิตยสารแฟชั่น แล้วงานอดิเรกที่แท้จริงของเราคือดีไซน์ชุดของตัวเอง เป็นต้น อันนี้ก็น่าลงค่ะ แต่งานอดิเรกของเราส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้องาน พี่ล่ามเห็นว่าความสนใจส่วนตัวตรงนี้นำไปคุยกับผู้สัมภาษณ์ได้เมื่อมีโอกาส

ส่วนสุดท้ายล่างสุดคือบุคคลอ้างอิง (Reference) โดยทั่วไปแล้วและค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกันคือ ผู้สมัครงานจะไม่ลงรายละเอียดไว้ค่ะ โดยมากมักจะบอกแค่ว่า Available upon request พี่ล่ามคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านเจอว่ามีบริษัทหาพนักงานจัดการโทรไปที่บริษัทและถามหาบุคคลอ้างอิงที่เค้าอ่านเจอในเรซูเม่โดยไม่ได้บอกผู้สมัครก่อน ผลก็คือบุคคลอ้างอิงรับสาย แต่กลายเป็นเรื่องสับสนขึ้นมาเนื่องจากผู้สมัครยังไม่ได้แจ้งให้บุคคลอ้างอิงทราบว่าตัวเองกำลังหางาน ดังนั้นรอให้แน่ใจเสียก่อนว่าเราน่าจะได้งานนั้นแน่ ๆ (โดยมากเมื่อถึงขั้นขอบุคคลอ้างอิงแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วค่ะ ส่วนใหญ่เค้าแค่ต้องการสอบถามแนวทางลักษณะการทำงานของเรามากกว่า) แล้วค่อยแจ้งชื่อและเบอร์ติดต่อของบุคคลอ้างอิงให้เค้าทราบ ที่เราไม่ต้องระบุบุคคลอ้างอิงไปก่อนที่เค้าจะขอก็เพราะว่าข้อมูลสมัยนี้หาได้ง่ายดายในอินเตอร์เน็ต แค่เค้าหาชื่อบุคคลและบริษัทใน LinkedIn ก็เจอแล้วค่ะ เบอร์โทรศัพท์ก็กุเกิ้ลเอาได้ สิ่งที่พี่ล่ามอยากเตือนอีกอย่างเกี่ยวกับบุคคลอ้างอิงก็คือ เราต้องแจ้งคนที่เราจะขอให้เป็นบุคคลอ้างอิงทราบก่อนล่วงหน้าว่าอาจจะมีคนโทรมาเพราะเราไปสมัครงานไว้ เค้าจะได้เตรียมตัวถูก และยิ่งถ้าเราบอกคนสัมภาษณ์ได้ว่าบุคคลอ้างอิงของเราจะว่างรับสายตอนไหน คนสัมภาษณ์ยิ่งชอบค่ะ ไม่เสียเวลาเค้า และไม่เสียเวลาเราด้วย เพราะถ้าเค้าโทรไปแล้วได้แค่ฝากข้อความเค้าก็ต้องรอจนกว่าจะได้คุยซึ่งก็หมายถึงวันเริ่มงานของเราก็ช้าตามไปด้วยค่ะ โดยมากคนสัมภาษณ์มักจะขอบุคคลอ้างอิงที่เคยเป็นหัวหน้าโดยตรงของเราหรือยังเป็นหัวหน้าของเราอยู่ทั้งหมด 2 คนค่ะ มีบริษัทหางานบางแห่งที่อาจจะขอบุคคลอ้างอิงสำหรับบุคลิกส่วนตัวของเรา (character reference) ตรงนี้เราใช้เพื่อนร่วมงานที่สนิทได้ค่ะ

สุดท้ายที่พี่ล่ามอยากให้น้อง ๆ ใส่ใจให้ดีก็คือสิ่งต่อไปนี้ค่ะ 
  • โครงสร้างประโยคและตัวสะกด ถ้าเรซูเม่สะกดผิดสะกดถูก แกรมม่าไม่ถูกต้อง ไม่สม่ำเสมอเนี่ย เค้าจะมองว่าเราเป็นคนไม่ละเอียดรอบคอบ
  • ใช้ตัวอักษรที่ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป 
  • พยายามรักษาโครงสร้างของเรซูเม่ให้สม่ำเสมอ ดูเป็นทางการ 
  • ที่อยู่อีเมลของเรา อีเมลที่เราเปิดใช้เมื่อตอนอายุ 15 ที่เราคิดว่าน่ารัก คิขุ หรือเท่บรมน่ะ อย่าเอามาใช้หางานค่ะ จำพวก barbiegirl@ หรือ casanova@ หรือ amcute@ ทั้งหลายนี่เก็บไว้ใช้ส่งกับเพื่อน ๆ เถอะค่ะ คนอ่านเรซูเม่ที่เห็นอีเมลเหล่านี้เค้าอาจคิดว่าเรายังไม่โตพอพร้อมสำหรับโลกของการทำงานค่ะ อีเมลสำหรับหางานควรจะฟังดูโปรเฟสชันนอล อย่างเช่น เป็นชื่อจริงของเรา หรืออย่างมากแค่มีตัวเลขตามหลังชื่อ 
  • ใส่เลขหน้า ชื่อของเรา และอีเมลหรือเบอร์ติดต่อเป็น footer ของเรซูเม่ทุกหน้า อย่าลืมว่าคนอ่านเรซูเม่บางทีต้องนั่งคัดจากร้อย ๆ ฉบับ บางครั้งอาจลืมเย็บเรซูเม่ติดกัน ถ้าแผ่นหนึ่งแผ่นใดของเราหายไปแล้วเค้าบังเอิญเจอเรซูเม่ของเราที่ไม่ใช่หน้าแรก (ซึ่งมีรายละเอียดการติดต่อของเราอยู่ด้านบน) แต่กลับสนใจอยากอ่านเพิ่มขึ้นมาเค้าจะได้เห็นชื่อของเราจาก footer รู้ว่าหน้าไหนที่อ่านอยู่ และถ้าเค้าสนใจเราจริง ๆ เค้าก็สามารถติดต่อเราได้เลย ไม่ต้องกลับไปหาชื่อเราใน inbox อีก
  • ควรปรับแต่งเรซูเม่ทุกครั้งในแต่ละงานหรือสายงานที่เราสมัคร อย่าลืมว่าเราต้องลงทักษะและความสามารถให้ตรงกับประกาศงาน และเพราะประกาศงานยังลงไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นเรซูเม่ฉบับเดียวอาจจะหมาะสำหรับหนึ่งงานแต่ย่อมไม่เหมาะสำหรับทุกงาน 
  • เวลาสมัครงานอย่าลืมเขียน cover letter ใส่ในอีเมลที่สมัครด้วยนะคะ ตัว cover letter นี้มีหน้าที่หลัก ๆ คือแนะนำตัวเราโดยย่อ (ที่เกี่ยวกับงาน) ทำไมเราถึงสนใจในงานที่เรากำลังสมัคร และคิดว่าเรามีความสามารถหรือทักษะด้านใดที่ดีและโดดเด่นที่จะสามารถส่งเสริมธุรกิจของเค้าได้หากเค้าจ้างเรา
พี่ล่ามมีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับวิธีเขียนเรซูเม่จาก SEEK มาให้อ่านกัน ตามแบบฉบับออสซี่เลยค่ะ

เมื่อได้โครงหลักของเรซูเม่แล้วก็เริ่มต้นหางานด้วยความมั่นใจกันค่ะ แหล่งงานที่มีทั้งงานในไทยและออสซี่ก็ต้องที่นี่เลยค่ะ Jora Thailand สำหรับงานในไทย และ Jora AU สำหรับงานในออสซี่ ขอให้น้อง ๆ ทุกคนโชคดี ไว้คราวหน้าจะพูดถึงวิธีสัมภาษณ์งานให้เค้าประทับใจค่ะ

ถ้าต้องการสอบถามพี่ล่ามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนเรซูเม่ หรือรู้สึกไม่แน่ใจอยากให้พี่ล่ามช่วยทวนให้ก็บอกได้นะคะ พี่ล่ามชอบเห็นคนไทยได้ทำงานกับฝรั่งค่ะ ฝรั่งประทับใจนิสัยตั้งใจทำงานของพวกเราชาวเอเชียน แต่อย่างที่เค้าบอก เรซูเม่นี่เหมือนกับหน้าตาเราเลยค่ะ เค้าจะวัดเราจากเรซูเม่ก่อนเจอเราเพราะฉะนั้นเราต้องทำให้หน้าตาของเราน่าอ่านที่สุดค่ะ 

Sunday, 21 February 2016

ความสำคัญของเครดิตความน่าเชื่อถือในฐานะผู้บริโภค

ขอโทษทีค่ะที่หายไปนานมา..า..ก ยุ่งมากค่ะ ทั้งงานล่าม งานพิเศษ งานศพ.. ใช่ค่ะ งานศพ เศร้า..​

ตามที่สัญญาไว้คราวที่แล้ว คราวนี้พี่ล่ามจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องของ credit rating ในฐานะผู้บริโภคให้น้อง ๆ ฟังค่ะ ว่ามันสำคัญกับเราอย่างไร

เครดิตในที่นี้หมายถึงความน่าเชื่อถือค่ะ บริษัทที่ให้บริการแบบใช้ก่อนจ่ายทีหลังทั้งหลายจะเชื่อมโยงระบบข้อมูลลูกค้าของเค้ากับหน่วยงานที่จัดระดับความน่าเชื่อถือทั้งหลาย หน่วยงานเหล่านี้ที่ดัง ๆ ก็มีสองสามชื่อที่พวกเราคงเคยได้ยินติดหูกันมา Standard & Poor (S&P) ของอเมริกา, ในออสเตรเลียที่พี่พอทราบก็มี Veda Advantage กับ Dunn & Bradstreet เครดิตเรทติ้งแบ่งได้สองประเภทใหญ่ ๆ คือ เรทติ้งของผู้บริโภคเป็นรายบุคคล และเรทติ้งของบริษัท ที่เราจะพูดถึงวันนี้คือของผู้บริโภค ซึ่งหน่วยงานที่ทำการรวบรวมเครดิตไว้ก็คือ Veda Advantage ส่วน Dunn & Bradstreet รู้สึกจะจัดระดับบริษัทเท่านั้น ไม่ทราบเปลี่ยนรึยัง

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้เริ่มใช้บริการใช้ก่อนจ่ายทีหลัง (post-pay) เป็นชื่อของเรา เมื่อนั้นแหล่ะค่ะ ที่เครดิตเรทติ้งของเราจะเริ่มต้น บริการใช้ก่อนจ่ายทีหลังหลัก ๆ ก็อย่างเช่น เปิดใช้มือถือแบบแพลน เปิดใช้ระบบสาธารณูปโภค เปิดบัตรเครดิต หากเราเป็นนักเรียนต่างชาติ เพิ่งมาถึงออสเตรเลีย ก็เท่ากับว่าเราไม่เคยมีเครดิตค่ะ ดังนั้นจะขอเปิดใช้บริการโพสท์เพย์จะค่อนข้างยาก แถมด้วยความที่วีซ่าเรามีระยะสั้น บริษัทเหล่านี้จะไม่ค่อยไว้ใจให้เราใช้บริการเท่าไหร่ และอีกอย่างเราไม่ได้ทำงาน จึงไม่มีรายได้หลักเป็นการค้ำประกันว่าเราจะสามารถจ่ายบิลตรงตามกำหนดทุกบิลหรือไม่

ข้อยกเว้นคือบัตรเครดิตค่ะ ถ้าบัญชีเงินเก็บเราค่อนข้างอ้วนธนาคารบางแห่งที่โลภอยากกินดอกเบี้ยจากเราอาจจะยอมเปิดบัตรเครดิตวงเงินน้อย ๆ ให้ค่ะ ส่วนบริษัทมือถืออาจยากนิดนึงค่ะ นอกจากว่าวีซ่าเราจะยาวกว่า 2 ปี เพราะแพลนส่วนใหญ่อย่างน้อย 2 ปีทั้งนั้น บริษัทสาธารณูปโภคไม่สามารถปฏิเสธเราได้ค่ะถ้าเราขอเปิดบัญชีใช้น้ำ ไฟ แก๊ส เพราะเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นส่วนใหญ่เครดิตของเราจะเริ่มจากบริษัทน้ำ ไฟ แก๊ส เนี่ยแหล่ะค่ะ

น้องบางคนที่เคยขอเปิดใช้สาธารณูปโภคด้วยตัวเองมาแล้วอาจจำได้ว่า พนักงานจะบอกเราให้ถือสายรอในขณะที่เค้าขอเช๊กเครดิตเรทติ้งของเราถ้าเราไม่เคยเป็นลูกค้าเค้า หากเรามีเครดิตมาก่อนและรักษาเครดิตดีก็จะง่ายค่ะ ใช้ไปเลย 3 เดือน แล้วถึงจะได้บิลเก็บเงิน ถ้าเราไม่เคยมีเครดิตมาก่อน บริษัทเค้าก็จะให้เราเปิดใช้สาธารณูปโภค (น่าจะหลัก ๆ ที่แก๊ส กับไฟค่ะ เพราะแพงกว่าน้ำเยอะ) แบบจ่ายรายเดือนเป็นจำนวนที่เค้ากำหนดไว้ โดยมากมักจะมากกว่าที่ใช้จริง ถ้าน้อง ๆ อ่านบล๊อกที่แล้วที่พี่เขียนไว้คงจำได้ว่าที่นี่เค้าส่งบิลเก็บเงินทุก ๆ 3 เดือน แทนที่จะเป็นทุกเดือน เนื่องจากเค้าส่งคนมาอ่านมิเตอร์ทุก 3 เดือน ดังนั้นหากน้อง ๆ ต้องจ่ายบิลเป็นรายเดือนเนื่องจากเรายังไม่มีเครดิต จำไว้นะคะว่า ทุก 2 บิลแรกจะเป็นค่าใช้จ่ายจากการสุ่มคำนวณการใช้ของเรา พอเข้าบิลที่ 3 ซึ่งมาจากการอ่านมิเตอร์ บิลถึงจะมาจากการใช้จริงของ 3 เดือนที่ผ่านมา เค้าจะเอาไปหักลบกับยอดที่เราจ่ายไปเมื่อ 2 บิลที่ผ่านมาก่อน ดังนั้นบิลของทุก ๆ 3 เดือนจะเป็นบิลตามจริง หากเค้าสุ่มคำนวณ 2 บิลแรกที่มาถึงเราน้อยกว่าความเป็นจริง บิลที่ 3 ก็อาจจะสูง บางรายถึงกับช๊อกจนต้องโทรไปสอบถามบริษัทซึ่งก็โทรเรียกพี่ล่ามมาช่วยแปลให้อีกที บางรายอาจได้รับบิลที่ 3 น้อยกว่าปกติเพราะจ่ายเยอะกว่าที่ใช้จริงเมื่อ 2 บิลแรก สรุปใจความก็คือ บิลที่ 3 จะเป็นบิลตามจริง จำนวนเงินที่เรียกเก็บจากเราเท่ากับจำนวนน้ำ แก๊ส หรือไฟ ที่เราใช้ไปเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะฉนั้น สำหรับน้องที่ต้องจ่ายรายเดือน หนึ่งปีเราจะได้รับบิลตามจำนวนใช้ 4 ครั้ง ส่วนที่เหลือคือการสุ่มคำนวณ โดยปกติบริษัทจะปรับยอดคำนวณค่าใช้หลังจากผ่านไประยะหนึ่งแล้ว เราจะได้ไม่ช๊อกเมื่อได้รับบิลตามจริง แต่สามารถโทรไปสอบถามและขอให้เค้าปรับยอดขึ้นได้หากกลัวจะมีปัญหาจ่ายเงินเป็นจำนวนมากทุกคร้ังที่ได้รับบิลตามจริง

นิสัยการจ่ายบิลของเราจะเริ่มส่งผลถึงเครดิตเรทติ้งของเราก็ตอนนี้ล่ะค่ะ อย่างที่พี่บอกไว้คราวที่แล้ว จ่ายตรงตามเวลาครบตามจำนวนทุกครั้ง ไฟเขียวค่ะ ยิ่งทำแบบนี้หลาย ๆ ปียิ่งหมายถึงประวัติของเราจะดีมาก ส่วนใครที่ใจป้ำจ่ายก่อนกำหนดหรือบางทีจ่ายเกินเป็นประจำ อันนี้เขียวเข้มเลยค่ะ (บริษัทเค้าเอายอดที่จ่ายเกินไปหักกับบิลงวดหน้าค่ะ เงินเราไม่หายไปไหน) ส่วนคนที่จ่ายช้า ก็จะเป็นสีเหลือง ช้าบ่อย ๆ เข้าก็จะเป็นสีแดง ถ้าเค้าตามเก็บเงินไม่ได้เลย เรทติ้งของเราก็จะติดตัวแดงเลยค่ะ ติดตัวแดงนี่มีผล 5 ปีค่ะ เราจะขอเปิดบริการโพสท์เพย์ไม่ได้ไป 5 ปีหลังจากใช้หนี้หมด พอเห็นความสำคัญหรือยังคะ

นอกจากเครดิตเรทติ้งจะมีผลต่อการขอเปิดใช้บริการโพสท์เพย์ต่าง ๆ แล้ว ยังมีผลถึงการขอเงินกู้และขอบัตรเครดิตด้วยค่ะ บัตรเครดิตนี่แค่เรามีเงินเก็บเล็กน้อยก็อาจจะได้แล้วค่ะ วงเงินอาจไม่มาก แต่ธนาคารเค้าเล็งที่ดอกเบี้ยที่เค้าจะได้ค่ะ แต่ถ้าเรามีเงินเก็บ ปิดยอดชำระที่ 0 ทุกครั้ง หรืออย่างน้อยจ่ายตรงกำหนดทุกครั้งเราอาจได้บัตรที่วงเงินสูงหน่อย เพราะธนาคารเค้ารู้ว่ายังไงเราก็จ่าย ยังไงเราก็จะไม่กลายเป็นหนี้เสีย ส่วนเรื่องเงินกู้อันนี้จะต่างกันหน่อยค่ะ ที่เราเคยได้ยินกันว่า มีหนี้ถือว่ามีเครดิต เนี่ย ไม่จริงเสมอไปนะคะ ถ้าเรามีหนี้และจ่ายตรงตามกำหนดที่ธนาคารแจ้งไว้ทุกครั้ง อันนี้ค่ะ เครดิตดี มีหนี้แต่จ่ายเบี้ยวไปเบี้ยวมา ช้าบ้าง ตรงบ้าง จ่ายไม่ครบบ้าง อันนี้เครดิตไม่ดีค่ะ และเวลาขอเงินกู้ยอดโต ๆ อย่างเช่น เวลาซื้อบ้าน ซื้อรถ เค้าจะขอดูว่าเรามีบัตรเครดิตกี่ใบ แต่ละใบมีวงเงินเท่าไหร่ และมียอดเดบิต (คือยอดที่เราต้องชำระ) เท่าไหร่ ยิ่งยอดค้างชำระน้อย ยิ่งหมายถึงเครดิตดีค่ะ เครดิตในการขอเงินกู้ไม่ได้หมายถึงแค่เรามียอดวงเงินบัตรโดยรวมเท่าไหร่นะคะ แต่หมายถึงเราสามารถจ่ายเงินได้ทุกงวดและจ่ายได้ดีแค่ไหนด้วยต่างหาก ตรงนี้สำคัญกว่า เพราะเมื่อธนาคารปล่อยกู้ เค้าก็หวังว่าเราจะสามารถผ่อนชำระได้ทุกงวดโดยไม่มีปัญหา เพราะฉนั้นถ้ายอดค้างชำระในบัตรเครดิตสูงกว่าจำนวนเงินที่เราจ่ายทุกงวด ๆ เนี่ย เค้าจะเพ่งเล็ง

วกกลับมาที่หน่วยงานจัดระดับเครดิตของเรา เค้าจะได้รับข้อมูลการจ่ายบิลของเราจากบริษัทสาธารณูปโภค จากธนาคาร และบิลใด ๆ ก็ตามที่ส่งถึงเราถ้าเป็นไปได้ เรทติ้งของเราจะถูกคิดคำนวณจากประวัติการจ่ายเงินของหลาย ๆ บริษัทค่ะ ดังนั้นรักษานิสัยการจ่ายบิลของเราให้ดีและสม่ำเสมอทุก ๆ บิลนะคะ และถ้าวันหนึ่งข้างหน้าน้อง ๆ เปิดกิจการหรือเปิดร้านอาหารก็ต้องรักษาเครดิตของธุรกิจเราให้ดีด้วยนะคะ อย่าลืมส่งข่าวมาให้พี่ล่ามทราบถ้าหากเปิดร้านอาหาร คิดถึงอาหารไทยค่ะ..


Monday, 7 September 2015

การเปิดบัญชีสาธารณูปโภคเข้าอพาร์ทเมนต์ / บ้านเช่า

ไฮไลท์ของการได้มาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ไม่ว่าเราจะมาเรียนหรือมาทำงานก็ตาม ครั้งหนึ่งในการใช้ชีวิตต่างแดนเราทุกคนคงยอมรับว่าประสบการณ์ที่สนุกที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การได้อยู่ร่วมกับเพื่อนที่เราสนิทด้วย นอกจากสนุกแล้วยังอุ่นใจอีกด้วย มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองได้อยู่กับเพื่อนที่รู้ใจ พูดภาษาเดียวกับเรา ไม่ต้องเหงา แต่เนื่องจากขั้นตอนการเช่าบ้านหรืออพาร์ทเมนต์ของที่นี่ต่างจากของบ้านเราพอสมควร ที่พี่พอทราบมาของบ้านเราเนี่ยเวลาเช่าอพาร์ทเมนต์เราแค่เปิดห้องชุดในนามของเรา น้ำ ไฟ เป็นของอพาร์ทเมนต์ที่เรียกเก็บเงินกับเราอีกที แต่ที่นี่เราต้องเปิดใช้ระบบสาธารณูปโภคในชื่อของเราเองเกือบทุกอย่าง (อพาร์ทเมนต์บางแห่งเราไม่ต้องจ่ายค่าแก๊ส หรือค่าน้ำ ในกรณีนี้ส่วนใหญ่เจ้าของจะเป็นคนจ่าย และสาเหตุก็คือด้วยสาเหตุบางประการระบบท่อส่งแก๊ส หรือน้ำ ในบางตึกไม่สามารถทำการแยกมิเตอร์สำหรับแต่ละห้องได้ ท่อแก๊สหรือท่อน้ำจะมารวมกันสำหรับตึก เป็นมิเตอร์เดียว เจ้าของต้องจ่ายรวมกับค่าส่วนกลาง) น้ำ ไฟ แก๊ส อินเตอร์เน็ท โทรศัพท์บ้าน ต้องเป็นชื่อของเรา วิธีเปิดใช้ไม่ยากเลย แต่ขั้นตอนสิคะ ที่ทำให้เราบางคนปวดหัว

กรณีนี้พี่ล่ามขอยกประสบการณ์จากงานตรงนะคะ คือการขอเปิดบัญชีไฟฟ้ากับ Origin Energy อันนี้ต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้มีเอี่ยวกับบริษัทนี้แต่อย่างใด คืองานแปลทางโทรศัพท์ที่รับทำอยู่มีแต่จากของบริษัทนี้ ไม่มีบริษัทอื่นเลย ก็เลยไม่สามารถยกตัวอย่างจากบริษัทอื่นหรือจากระบบสาธารณูปโภคอื่นมาคุยได้

เริ่มแรกเลย น้อง ๆ ควรเข้าไปอ่านข้อมูลในเว็บไซต์ของเค้าก่อนแต่เนิ่น ๆ พอรู้ว่าจะได้ย้ายเข้าอพาร์ทเมนต์หรือบ้านเช่าแล้วเนี่ย ควรหาข้อมูลก่อนเลยว่าใช้เวลากี่วันนับจากวันที่โทรติดต่อจนถึงวันที่ไฟจะเข้าอพาร์ทเมนต์ ตรงนี้สำคัญเพราะมีเคสนึงน้องเค้าย้ายเข้าวันนั้นแล้วโทรต่อไฟวันนั้น ทางบริษัทเค้าต้องใช้เวลา 3 วันทำการนะคะ กว่าจะต่อไฟเข้ามาเป็นชื่อเราได้ ที่ ๆ น้องคนนั้นย้ายเข้าไปอยู่ไม่มีไฟ คือผู้เช่าเก่าเค้าตัดไฟเลย เจ้าหน้าที่เค้าก็เห็นใจแต่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากไปกว่ารับรองว่าไฟจะมาภายใน 3 วัน แต่ก็ยังกล้าแนะนำว่าระหว่างที่รอไฟเข้าน้องคนนั้นก็คงต้องจุดเทียนไปก่อน ถ้าเราย้ายไปแล้วที่บ้านเช่าหรืออพาร์ทเมนต์นั้นยังมีไฟอยู่ก็โชคดีไป  (ในกรณีนี้คือผู้เช่าเก่าแค่ย้ายบัญชีไปที่อื่นเฉย ๆ ไม่ได้ขอตัดไฟ) เราก็ใช้ไฟฟรีจนกว่าบริษัทจะโอนมิเตอร์ไฟและยอดใช้นั้นมาเป็นชื่อเรา (3 วันเท่านั้นล่ะค่ะโดยมาก อย่าเพิ่งกระโดดตัวลอย) ค่าใช้ก็จะนับจากวันที่เริ่มเปิดไฟใช้เป็นชื่อเราค่ะ แต่อย่าทำรีรอเล็งใช้ไฟฟรีไปเรื่อย ๆ ล่ะคะ กฏหมายที่นี่เค้าแรงพอตัวนะคะ ถึงแม้ค่าไฟจะไม่ได้เป็นชื่อเราเค้าก็ตรวจสอบจากเอเย่นต์ที่เราเช่าบ้านผ่านได้ค่ะว่าเราย้ายเข้าไปเมื่อไหร่ ยังไง ๆ ค่าไฟก็ตามมาถึงตัวเราได้แน่นอน และถ้าเค้าพิสูจน์ได้ว่าเราแกล้งทำบิดพลิ้วอาจโดนค่าโน่นนี่นั่นเพิ่มด้วย ที่นี่เค้ามีชาร์จค่าเสียเวลา ค่าแอ๊ดมินในการออกบิลในการตรวจสอบบิลนะคะ เรื่องกฏหมายของเค้าเราอย่าทำเป็นเล่นไป ทำอะไรให้ถูกต้องไว้ก่อนดีกว่า อย่าลืมว่าเราไม่ใช่พลเมืองของเค้า ผิดพลาดขึ้นมาเราก็ถูกเพ่งเล็งก่อนเลย และที่สำคัญก็คือบริษัทไฟฟ้า น้ำประปา แก๊ส โทรศัพท์ เนี่ย เค้าเก็บสะสมสถิติการจ่ายเงินของเราด้วยนะคะ สถิตินี้จะถูกรวบรวมไว้ในศูนย์กลางซึ่งส่วนใหญ่ก็คือบริษัทที่จัดทำ personal credit rating ถ้าเราเบี้ยวก็ขึ้นตัวเหลือง เบี้ยวสองสามหนก็ขึ้นตัวแดง ทีนี้จะอยู่ยากค่ะ เพราะเครดิตเรทติ้งของเรามันโยงถึงกันหมด มันไปถึงธนาคาร ถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้เครดิตเรา เคยมีเพื่อนรุ่นน้องบางคนสงสัยว่าไปขอซื้อโทรศัพท์มือถือแบบแพลน (ไม่ต้องจ่ายค่าเครื่อง เพียงแต่ติดสัญญาใช้กับบริษัทเป็นเวลาสองปี) แล้วไม่ได้ทั้งที่ก็มี PR แล้ว ถามไปถามมาถึงรู้ว่าจ่ายค่าไฟช้า ไม่ค่อยตรงตามกำหนดที่เค้าบอก เห็นมั้ยล่ะคะ

ที่พี่ขอแนะนำอีกอย่างก็คือ ลองหาเปรียบเทียบค่าใช้กับส่วนลดดูจากเว็บไซต์ที่เค้ารวบรวมเอาไว้ให้เปรียบเทียบ แล้วมานั่งคิดคำนวณดูเองว่าควรต่อน้ำ ไฟ แก๊สกับเจ้าไหน ดูรายละเอียดให้ดี เพราะดีลพิเศษบางอย่างที่มีส่วนลดเยอะ ๆ อาจจะผูกสัญญาให้เราใช้ไฟหรือแก๊สกับเค้าเป็นปีหรือสองปี พอจะย้ายออกหรือจะต้องกลับเมืองไทยก่อนสัญญาหมดก็จะโดนค่าตัดสัญญา ซึ่งเค้าจะมีบอกไว้อยู่แล้ว แต่บางทีเราเห็นส่วนลดแล้วก็ตาโต มองอย่างอื่นไม่เห็น พอถึงเวลาบอกเลิกสัญญาถึงมารู้ว่าต้องจ่ายกันเป็นร้อยสองร้อยก็มี 

เมื่อได้บริษัทที่ถูกใจแล้วก็โทรค่ะ นับวันให้ดีว่าจะต้องโทรอย่างช้าที่สุดเมื่อไหร่ อย่าลืมนะคะ บริษัทนี้ใช้เวลา 3 วันทำการในการต่อไฟเป็นชื่อเรา (ไม่รวมเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดราชการ) เพราะนั้นต้องโทรอย่างน้อย 3 วันก่อนย้ายเข้า จะให้ดีที่สุดก็พยายามเลือกวันที่ไฟเข้าหนึ่งวันก่อนเราย้ายเข้าค่ะ ซึ่งก็คือ 4  วันก่อนย้ายเข้า แล้ววันนั้นก็เข้าไปเช๊คดูว่าไฟมารึยัง เผื่อมีปัญหาติดขัดเราจะได้มีเวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งวันโทรไปแจ้งบริษัท ไม่ต้องยุ่งยากนั่งจุดเทียน อันนี้หมายถึงเราอาจต้องจ่ายค่าเช่าเสียทิ้งไปหนึ่งวันอะนะคะ แต่พี่ว่าคุ้มค่ะ อย่างน้อยที่สุดก็ใช้วันที่ไฟจะเข้าน่ะเป็นวันขนย้ายของวันแรก จะเวิร์คสุดค่ะ เพราะเราไม่มีทางย้ายบ้านและจัดบ้านให้เสร็จภายในวันเดียวกันแน่นอน ในกรณีที่เฟอร์นิเจอร์เยอะนะคะ ของพี่ล่ามนี่ต้องใช้เวลา 3 วันค่ะ กว่าจะย้ายและจัดเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง (ถ้าไม่อยากจ้างบริษัทย้าย) ส่วนของตกแต่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แพ๊กในกล่องก็อยู่อย่างงั้นไปอีกสัปดาห์เลยค่ะ

ก่อนโทร เตรียมเอกสารสำคัญและข้อมูลเกี่ยวกับสาธารณูปโภคนั้น ๆ ให้พร้อม สิ่งที่เค้าต้องการก็คือบัตรประจำตัว ซึ่งคนที่นี่ใช้ใบขับขี่ของออสเตรเลียอย่างเดียว ไม่ได้มีบัตรประชาชนเหมือนอย่างบ้านเรา ถ้าเราไม่มีใบขับขี่ของที่นี่ก็ใช้พาสปอร์ตค่ะ หลังจากเจ้าหน้าที่ถามข้อมูลส่วนตัวของเราแล้ว (ชื่อ วันเดือนปีเกิด หมายเลขโทรศัพท์ที่จะใช้ติดต่อ) เค้าก็จะถามคำถามซึ่งเป็นข้อบังคับในหน้าที่ของเค้าต่อไปนี้ค่ะ 

  • ที่อยู่ที่จะใช้เปิดไฟนี้เป็นบ้านเดี่ยว หรือห้องพัก (single house, unit, or apartment?) บ้านเดี่ยวเราก็คงทราบกันดี ส่วนความแตกต่างของ unit กับ apartment ก็คือ ยูนิตจะใช้กับบ้านทาวน์เฮาส​์ หรือห้องเดี่ยว/ห้องชุดที่อยู่ในอาคารซึ่งมีทางเข้าเดียวกัน ทางเข้านี้หมายถึงทั้งทางเข้าที่จอดรถและทางเดินเข้าตัวตึก ทาวน์เฮาส์จะต้องมีกำแพงอย่างน้อยหนึ่งด้านของตัวบ้านที่ติดกับบ้านข้าง ๆ และมีที่จอดรถและทางเดินเข้าตัวบ้านแยกต่างหากของทาวน์เฮาส์แต่ละหลัง ส่วนอพาร์ทเมนต์หมายถึงห้องเดี่ยวหรือห้องชุดในตึกสูง เวลาเราอ่านที่อยู่ยูนิตหรืออพาร์ทเมนต์ให้เค้าฟังให้ใช้คำว่า unit หรือ apartment แทนที่จะพูดคำว่า "ทับ" เป็นภาษาอังกฤษ (slash or stroke) เพราะคนที่นี่จะเข้าใจแบบนี้ง่ายกว่า อีกอย่าง ตัว / เค้าไม่เอามาอ่านในภาษาอังกฤษค่ะ สรุปก็คือ ประมาณนี้ค่ะ 
- unit 2 of number 5 Spring Street (อ่านแบบนี้ สำหรับบ้านเลขที่ 2/5 Spring St)  
- apartment 205 of number 70 Spring Street (อ่านแบบนี้ สำหรับบ้านเลขที่ 205/70 Spring St)
และด้วยประสบการณ์ส่วนตัวบวกกับที่ได้ยินมาเวลามีงานล่ามทางโทรศัพท์ พวกเรามักมีปัญหาในการสะกดชื่อต่าง ๆ ให้เจ้าหน้าที่ฟัง อันนี้คิดว่าเป็นเพราะการออกเสียงที่ผิดเพี้ยนไปจากต้นตำรับซึ่งเราได้ยินได้ฟังมาจากโรงเรียน ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดคือ W ซึ่งเราอ่านกันว่า "ดับบลิว" ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่องค่ะ เพราะเค้าจะอ่านว่า "ดับเบิ้ลยู" อีกสิ่งหนึ่งที่คนออสซี่อ่านออกเสียงไม่เหมือนคนอเมริกัน (ซึ่งพวกเราจะคุ้นหูกับสำเนียงอเมริกันมากกว่า) คือตัว A กับตัว I คนออสซี่อ่านตัว A คล้าย ๆ กับตัว I อันนี้จะลำบากถ้าไม่บอกโค้ดวิธีสะกดแบบสากลให้เค้าฟัง ถ้าจะให้ชัวร์เวลาสะกดให้สะกดตามนี้เลยค่ะ 
สมมุติสะกดคำว่า Spring เราบอกชื่อถนนให้เค้าฟังก่อน เค้าจะได้จับแนวถูกแล้วสะกดให้เค้าฟังตามโค้ดไปเลย ง่าย ๆ นะคะ ตามด้านล่างนี้ค่ะ
"Unit 2 of number 5 Spring Street. Spelling for Spring street is, Sierra - Papa - Romeo - India - November - Golf" (ไม่ต้องออกเสียงตัว - นะคะ พูดเป็นคำ ๆ ไปเลย) 
เจ้าหน้าที่ทุกคนทุกบริษัทที่ต้องทำหน้าที่รับโทรศัพท์คีย์ข้อมูลลูกค้าจะต้องรู้โค้ดนี้ติดตัวค่ะ ถ้าเราลืมโค้ดนี้ก็ให้นึกคำสามัญอื่นที่ใช้ตัวสะกดนั้น ๆ เป็นตัวแรกค่ะ พี่ล่ามเคยคุยโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่นึกคำที่มีตัวสะกดขึ้นต้นด้วย I ไม่ออก แต่สุดท้ายก็สะกดให้ว่า I - for igloo แล้วก็หัวเราะคิกคักขำความเป๋อตัวเอง  


  • ทราบมั้ยว่ามิเตอร์แก๊ส/ไฟ/น้ำอยู่ที่ไหน (Do you know where the gas/electricity/water meter is?) อันนี้ไม่เป็นข้อบังคับนะคะ ไม่รู้ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรารู้ช่างอ่านมิเตอร์ก็จะทำงานเร็วขึ้น หมายถึงว่าไฟเราก็คงต่อเข้าได้เร็วขึ้น หนึ่งนาทีก็สำคัญนะคะ เพราะฉนั้นก่อนจะตกลงทำสัญญาเช่าเนี่ย เช็คให้ดีว่ามิเตอร์เหล่านี้อยู่ที่ไหน ช่างเค้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินหารอบบ้าน แต่ถ้าเป็นอพาร์ทเมนต์ที่มีผู้จัดการตึกอยู่ประจำเคาน์เตอร์ (หรูนะน้อง) เราไม่ต้องกังวลค่ะ แค่ต้องแจ้งผู้จัดการตึกให้ทราบว่าช่างจะเข้ามาวันไหนและเวลาไหน ผู้จัดการตึกจะได้เปิดมิเตอร์ส่วนกลางให้ช่างดูได้ ถ้าช่างเข้าไปดูไม่ได้เค้าก็ต่อไฟให้เราไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นยูนิตที่อยู่ในตึกเตี้ย ๆ 2-3 ชั้นเนี่ย ส่วนใหญ่แล้วมิเตอร์จะอยู่ข้างนอกตัวตึกรวมกันเป็นแถวเลย เพราะฉนั้นหาง่าย ลองเดินวน ๆ หาดูค่ะ เจอก็ดีไม่เจอก็ไม่เป็นไร เพราะยูนิตส่วนใหญ่มีผู้เช่าเข้าออกประจำ ช่างอ่านมิเตอร์น่าจะคุ้นเคย แต่บ้านเช่าอาจจะต้องหาให้เจอ ถ้าหากเจ้าหน้าที่บอกว่าบ้านที่เราจะย้ายเข้าใช้ smart meter เค้าก็ไม่ต้องส่งช่างมาอ่านค่ะ 

  • บ้านที่จะเปิดบัญชีใช้ไฟนี้มีหมาหรือสัตว์เลี้ยงนอกบ้านหรือไม่ (Are there dogs or pets in the property?) อันนี้เพื่อความปลอดภัยของช่างเอง เผื่อว่าบ้านที่มีหมาเลี้ยงไว้นอกตัวบ้านซึ่งเป็นบริเวณที่ช่างจะต้องเดินหามิเตอร์ ทางเจ้าหน้าที่คงบอกให้กันหมาไม่ให้มากัดช่าง และอีกอย่าง อาจเพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงเอง หากมีหมาแมวที่อยู่นอกตัวบ้านช่างจะได้ไม่ต้องระมัดระวังเวลาเปิดประตูรั้วด้วยความกลัวว่าหมาแมวลูกค้าจะแอบลอดประตูหายไป พี่ล่ามก็ไม่ค่อยแน่ใจค่ะว่าถ้ามีสัตว์เลี้ยงหรือหมาเจ้าหน้าที่จะตอบว่ายังไง ที่แปลมายังไม่เคยมีน้องคนไหนตอบว่ามีเลย

  • มีใครในบ้านที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมั้ย (Does anyone at this property need life support machine?) อันนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเองค่ะ เพราะเครื่องมือทางแพทย์เหล่านั้นต้องใช้ไฟฟ้าอยู่แล้ว หากช่างต้องตัดไฟชั่วคราวหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ไฟสะดุด เค้าจะได้เลี่ยง ไม่งั้นอาจมีเศร้า

  • จะให้ส่งบิลทางจดหมายตามที่อยู่ที่ขอเปิดใช้ไฟหรือจะให้ส่งทางอีเมล (Do you prefer to receive your bills by post to your address or via email?) อันนี้พี่ขอบอกว่าอีเมลสะดวกที่สุดค่ะถ้าน้อง ๆ เช๊คอีเมลเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็พอแล้ว เคยมีเคสนึง น้องเค้าโทรมาขอเลื่อนวันกำหนดจ่ายเนื่องจากไม่เห็นบิล เพราะเจ้าตัวกลับไปเที่ยวเมืองไทยเลยไม่ได้เช๊คจดหมาย พอกลับมาก็ได้รับใบเตือนตัวแดงโร่แล้ว เลยต้องขอโทรมาเลื่อนกำหนดวันจ่ายให้ตรงกับวันที่เงินเดือนออก ถ้าตอบว่าทางอีเมลก็ต้องแจ้งที่อยู่อีเมลให้ทราบ ร่ายตัวสะกดตามที่พี่อธิบายด้านบนได้อีกค่ะ 

  • จะใช้วิธีนำบิลไปจ่ายเงินเองหรือจะใช้แบบตัดบัญชีอัตโนมัติ (Would you like to use direct debit for payment or would you prefer to pay the bills yourself?) ถ้าเลือกแบบตัดบัญชีอัตโนมัติมักจะมีส่วนลดเพิ่มค่ะ โดยส่วนตัวแล้วพี่ล่ามขอจ่ายเอง เพราะสบายใจกว่าถ้าได้เห็นว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ก่อนที่เงินจะออกกระเป๋า แต่ถ้าน้อง ๆ เลือกวิธีนี้ก็ต้องมีความรับผิดชอบในการจ่ายบิลสูงหน่อยนะคะ จ่ายให้ตรงตามกำหนดเป็นอย่างช้าที่สุด เพราะถ้าโดนตัดไฟแล้วไม่คุ้มกันค่ะ ของบริษัทนี้รู้สึกว่าเค้ามีส่วนลดให้ด้วยถ้าจ่ายตรงตามกำหนด วิธีการจ่ายเงินของประเทศนี้สะด๊วกสะดวกค่ะ ไม่ต้องพกบิลไปต่อคิวจ่ายที่ธนาคารหรือไปรษณีย์อย่างบ้านเรา ตามบิลที่เค้าส่งมาไม่ว่าจะทางไปรษณีย์หรือทางอีเมลเค้าจะมีวิธีชำระเงินบอกหมดค่ะ วิธีที่สะดวกที่สุดก็คือชำระผ่านบัญชีธนาคารของเราออนไลน์ด้วยระบบ Bpay เราสามารถกำหนดวันจ่ายได้ค่ะในบัญชี net banking ของเรา ปกติพี่ล่ามจะทำรายการจ่ายล่วงหน้าไว้เลยทันทีที่ได้รับบิล เงินเราจะยังไม่หายไปไหนค่ะ ระบบจะหักเงินจากบัญชีของเราเข้าบัญชีบริษัทไฟฟ้า น้ำ หรือแก๊สตามรหัส Bpay ที่เราใส่ไว้ พอถึงวันที่เราตั้งให้ระบบธนาคารของเราหักบัญชีมันก็จะไปเองโดยอัตโนมัติ วิธีนี้เราจะไม่เคยจ่ายล่าช้าเลยค่ะ และพี่ล่ามจะตั้งวันจ่ายไว้หนึ่งวันก่อนถึงวันกำหนดเสมอ ไม่รวมวันหยุดราชการหรือเสาร์อาทิตย์นะคะ เพราะธนาคารปิด เงินจะไม่เข้าบัญชีบริษัทจนกว่าธนาคารจะเปิดทำการ เพราะฉนั้นอาจกลายเป็นว่าเราจ่ายช้าไปวันสองวัน อย่าคิดว่าไม่สำคัญนะคะ ทุกครั้งที่เราจ่ายบิลให้กับบริษัทเหล่านี้เค้าบันทึกไว้หมดลงในเครดิตความน่าเชื่อถือส่วนตัวของเรา 
    • จะเปิดชื่อผู้ใช้ร่วมผู้อื่นในบัญชีเดียวกันนี้หรือไม่ (Would you like another person included in this account?) ถ้าเช่ากับเพื่อนและแชร์ความรับผิดชอบเท่า ๆ กัน พี่แนะว่าให้ใส่ชื่อเพื่อนคนนั้นไปด้วยค่ะ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินโดยเฉพาะเรื่องการจ่ายเงินเพื่อนเราจะได้คุยกับเจ้าหน้าที่ได้ ถ้าใส่แต่ชื่อเราคนเดียวเราก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักผู้เดียว โดยเฉพาะเรื่องเครดิต และเวลาโทรติดต่อกับเจ้าหน้าที่เค้าจะเปิดบัญชีของเราดูในระบบได้ก็ต่อเมื่อเจ้าของบัญชีถือสายคุยอยู่ด้วยค่ะ แต่คุยกับเพื่อนให้ดีนะคะว่าจะแชร์อยู่กันระยะยาว ไม่ใช่เดี๋ยวด๋าว 2-3 เดือนย้ายออก เดือดร้อนเราต้องตามแก้ชื่อบัญชีบ่อย ๆ ถ้าหากน้องตอบว่า yes ในข้อนี้เค้าก็จะถามชื่อของคนที่น้องอยากเอาเข้าร่วมบัญชีค่ะ ตอนนี้เพื่อนของเราคนนั้นไม่ต้องอยู่คุย เพราะยังไงเราก็ถือได้ว่าเป็นผู้เปิดบัญชีหลัก การให้คนอื่นลงชื่อร่วมบัญชีของเรามี 2 แบบค่ะ คือแบบมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเราทุกประการ และแบบมีสิทธิ์มีเสียงบางประการ ประการแรกเพื่อนเราจะสามารถบอกเลิกบัญชีไฟได้ หรือขอย้ายที่อยู่ได้ ประการที่สองคือเพื่อนเราแค่สามารถสอบถามหรือเปลี่ยนแปลงบิลและการชำระเงินได้
  • จะใช้พลังงานสะอาดหรือไม่ (Would you like to use green energy?) อันนี้แล้วแต่สะดวกละกันนะคะ สรุปง่าย ๆ ก็คือถ้าเราตอบ yes มันจะมีค่าใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นมาหน่อยนึงในแต่ละกิโลวัตต์ไฟที่เราใช้ เหมาะกับคนที่รักโลกรักสิ่งแวดล้อมค่ะ คือในทุกกิโลวัตต์ที่เราใช้เนี่ยเค้าจะดึงพลังงานไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตจากถ่านหิน (ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มมลภาวะและทำให้โลกร้อนขึ้น) ส่วนหนึ่งมาให้เราใช้ พลังงานสะอาดก็มาจากแหล่งต่าง ๆ ตามธรรมชาติเช่น พลังงานจากแรงเคลื่อนไหวของน้ำ (hydro) พลังงานจากกังหันลม (windmill) เป็นต้น 
    • ถ้าเราไม่เคยมีเครดิตมาก่อน คือไม่เคยใช้สาธารณูปโภคที่ต้องส่งบิลเรียกเก็บเงินเป็นชื่อเราและไม่มีบัตรเครดิต เราต้องเปิดสัญญาใช้ไฟแบบจ่ายรายเดือนค่ะ เพราะเค้าต้องขอดูประวัติการชำระเงินของเราไปก่อน อันนี้พี่เข้าใจว่าต้องทำแบบเป็นหักบัญชีอัตโนมัติ


      พอขั้นตอนเสร็จหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะทวนให้ฟังว่าที่ตกลงกันวันนี้มีอะไรบ้าง ก็เริ่มตั้งแต่น้องลูกค้าตกลงทำสัญญาเปิดใช้สาธารณูปโภคกับบริษัทนั้น ๆ ณ ที่อยู่ที่น้องให้ไว้ บิลส่งไปที่... แล้วค่าใช้ ค่าธรรมเนียม ซึ่งจะแจ้งไว้ในคู่มือและสัญญาซึ่งจะส่งให้น้องทางไปรษณีย์ในอีกไม่กี่วัน ตรงนี้เค้าจะถามว่าเราอยากให้เค้าอ่านสัญญาฉบับเต็มและค่าใช้ ค่าธรรมเนียมให้ฟังทางโทรศัพท์ตอนนี้หรือจะรอรับจดหมายแล้วอ่านเอง (อ่านเองเถอะค่ะ ไม่มีใครอยากเสียเวลาหรอก ทั้งเราและเจ้าหน้าที่) และก็ถ้าหากน้องสนใจใคร่รู้ว่าทางบริษัทเค้าเก็บสะสมเครดิตเรทติ้ง (ระดับความน่าเชื่อถือของเราวัดจากนิสัยการจ่ายเงิน) ยังไง ก็สามารถอ่านได้จากคู่มือหรือเข้าไปดูในเว็บเพจของบริษัท พอร่ายอารัมภบทเสร็จแล้วเค้าก็จะถามย้ำอีกทีว่า จะตกลงทำสัญญาเปิดบัญชีไฟ / แก๊ส / น้ำกับเค้าอยู่มั้ย มาถึง ณ จุดนี้แล้วพี่ล่ามยังไม่เคยเจอน้องคนไหนเปลี่ยนใจเลยค่ะ ปกติเวลาเปิดบัญชีทางโทรศัพท์และต้องใช้ล่ามเนี่ย ต้องใช้เวลามากกว่าปกติอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัวค่ะ 

      ที่สำคัญอีกอย่างที่พี่ล่ามอยากขอเน้นหนัก ๆ ก็คือ บิลทุกบิลที่เราเห็นที่นี่เค้าจะมีวันกำหนดจ่าย ถ้าเราไม่จ่ายภายในกำหนดเค้าจะส่งใบเตือน ถ้ารู้ตัวว่ามีเงินไม่พอจะจ่าย (ค่าไฟที่นี่แพงค่ะ แล้วบิลมาเป็นงวด ๆ ละ 3 เดือน พอบิลมาทีนี้ต้องควักกระเป๋ากันเป็นร้อยเลย) น้องต้องรีบโทรไปหาบริษัทนั้น ๆ ทันทีที่ได้รับบิลแล้วขอต่อรองผัดผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือนไป พี่ยังไม่เคยเจอเคสนี้ก็เลยบอกไม่ได้ว่าเค้าจะยอมผัดผ่อนให้ได้มากน้อยและนานแค่ไหน แต่เท่าที่เข้าใจพี่ว่าเค้าคงยอมให้จ่ายขยักขย่อนไปจนกว่าจะครบ แต่ต้องจ่ายให้ครบทุกเหรียญทุกเซนต์ก่อนถึงงวดบิลใหม่ ส่วนใหญ่แล้วบริษัทเค้าค่อนข้างอลุ้มอล่วยกับเรื่องจ่ายขยักขย่อนค่ะ แล้วถ้าเราขอจ่ายแบบนี้เครดิตเราก็จะไม่เสียเท่าไหร่ ถ้าน้องมัวแต่รอจนได้รับใบเตือนล่ะก็ ไม่ต้องคิดเลยค่ะเรื่องต่อรอง เค้าจะไม่ยอมแล้ว เราจะต้องจ่ายเต็มจำนวนเท่านั้น แล้วเครดิตเราก็จะเสียด้วย แต่ถ้ามัวรีรอจนผ่านวันกำหนดจ่ายบนใบเตือนแล้วล่ะก็ ซื้อเทียนรอตั้งแต่วันแรกที่เลยกำหนดจ่ายเลยค่ะ 

      อีกอย่างค่ะ เท่าที่จำได้บริษัทน้ำจะขอเปิดใช้ง่ายกว่านี้ค่ะ ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ แต่ขั้นตอนก็คล้าย ๆ กันคือ ช่างต้องเข้าไปอ่านมิเตอร์น้ำก่อน 

      ไว้คราวหน้าพี่จะมาเล่าเรื่องการจัดอันดับเครดิต (credit rating) ของผู้บริโภคให้ฟังนะคะ มีหลายเรื่องที่เราต้องรู้ และถ้าเราสร้างเครดิตดีแต่เนิ่น ๆ เนี่ย ชีวิตจะง่ายมากค่ะ ตั้งแต่ซื้อมือถือ ขอบัตรเครดิต หรือจนถึงเรื่องการขอเงินกู้ ใครที่คิดอยากขอวีซ่าอยู่ถาวรควรมองจุดนี้เป็นการปูพื้นฐานสำคัญแต่เนิ่น ๆ เลยค่ะ เรื่องเครดิตนี่ไม่ใช่แค่รู้ไว้ใช่ว่านะคะ ทำตามได้จะเป็นผลดีระยะยาวสำหรับตัวเราเองค่ะ

      Saturday, 29 August 2015

      ตรวจร่างกายตอนยื่นขอต่อวีซ่า

      เพราะทำงานเป็นล่าม(ทั้งทางโทรศัพท์และตามสถานที่) บ่อยครั้งที่ได้รับโทรศัพท์จากหมอซึ่งมีหน้าที่ตรวจสุขภาพผู้ยื่นขอต่อวีซ่า คำถามที่หมอต้องถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพก็เหมือนเดิมทุกครั้ง ซึ่งหากไม่เคยเรียนหมอหรือพยาบาลมาคงไม่รู้ว่าศัพท์เหล่านั้นคืออะไร จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ศัพท์เฉพาะที่แค่หมอหรือพยาบาลเท่านั้นที่เข้าใจ เป็นคำธรรมดาเท่านั้นแหละ เพียงแต่เป็นภาษาอังกฤษ เคยรับโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง คนที่มาตรวจร่างกายเพื่อต่อวีซ่าเป็นนักเรียน น้องคนนั้นถึงกับไปจ้างเอเย่นต์ให้กรอกแบบฟอร์มให้ พอมาถึงหมอ หมอถามว่าเคยเป็นโรคนั้นโรคนี้รึเปล่า น้องตอบไม่ได้ซักคำถามเพราะไม่เข้าใจว่าถามถึงอะไร หมอถึงกับอึ้ง เพราะการให้คนอื่นกรอกแบบฟอร์มยื่นสถานฑูตให้โดยเจ้าตัวยินยอมทุกประการแต่ไม่รู้ว่ากรอกอะไรลงไปบ้างนี้ถือเป็นเรื่องค่อนข้างซีเรียส หากน้องเค้าเคยเป็นโรคร้ายแรงอย่างเช่นมะเร็ง แต่ทางเอเย่นต์ตอบให้ว่า ไม่เคย นี่ถือเป็นการโกหก สถานฑูตมีสิทธิ์เพิกถอนวีซ่าของน้องเค้าได้ 

      เลยคิดว่าน่าจะแชร์คำถามเหล่านี้ให้น้องนักเรียนไทยหรือผู้ที่พักอยู่ที่ออสเตรเลียที่ต้องไปตรวจร่างกายเพื่อต่อวีซ่าได้รู้ไว้เป็นแนวทาง เวลาไปตรวจร่างกายจะได้ตอบคำถามได้ถูกต้อง 

      พี่เองก็ไม่เคยเห็นแบบฟอร์มนี้มาหลายปีแล้ว ไม่แน่ใจว่ามีคำถามอะไรบ้างแน่ ๆ แต่โดยมาก คำถามเค้าจะเรียงลงมาตามลำดับ หมอส่วนใหญ่จะอ่านร่ายลงมาตามแต่ละข้อ ก็เลยพอจำได้ว่ามีอะไรบ้าง มีหมอไม่กี่คนเท่านั้นที่ถามข้ามไปข้ามมา มีหมอคนนึงคงข้ามบนกระโดดลงล่างจนจำไม่ได้ว่าถามอะไรไปบ้าง วกกลับมาถามคำถามเดิม 

      เอาเป็นว่า บริษัทประกันสุขภาพที่ได้รับหน้าที่ตรวจสุขภาพผู้ยื่นขอวีซ่ามีชื่อว่า Bupa (บอกไว้ในกรณีที่ได้ยินเค้าเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา) ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะสมัยก่อนตอนพี่ต้องขอต่อวีซ่าก็ไม่ได้เป็น Bupa 

      ประวัติสุขภาพหลัก ๆ ที่เราต้องตอบก็คือ: 
      • Have you ever had Tuberculosis? 
      • (เคยเป็นโรควัณโรคหรือไม่)
      • Have you ever lived with or been in contact with anyone with Tuberculosis? 
        (เคยต้องอยู่ร่วมอาศัยกับ หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยด้วยโรควัณโรคหรือไม่)
      • Have you ever had blood test for HIV, Hepatitis B or C? 
        (เคยต้องตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อโรคเอดส์,​ โรคไวรัสตับอักเสบ B หรือ C หรือไม่)
      • Have you ever been admitted to a hospital? 
        (เคยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือไม่) ข้อสังเกตข้อนี้ก็คือ ที่นี่ไม่มีใครเดินเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อขอรับการรักษาได้นอกจากจะมีเหตุฉุกเฉิน ในกรณีที่ป่วยไข้ไม่สบายจะต้องเข้าคลินิกเท่านั้น หากมีอาการรุนแรงที่แพทย์ที่คลินิกไม่สามารถวินิจฉัยได้เค้าถึงจะออกใบรับรอง (referral) ให้เราไปรับการรักษาหรือตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล เพราะฉนั้น ถ้าแค่เป็นไข้หวัดแต่ไปนอนให้น้ำเกลือในโรงพยาบาล 2-3 วัน ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ก็ต้องตอบหมอไปตามตรง (อาจจะถูกถามเพิ่มว่าทำไมถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล เราก็บอกเค้าได้ว่าระบบไม่เหมือนกัน โรงพยาบาลที่เมืองไทยไม่ต้องใช้ referral) และบอกด้วยว่าไปนอนรับการรักษาด้วยโรคอะไร นานแค่ไหน กี่ปีมาแล้ว และข้อนี้มีน้องหลายคนถามพี่ล่ามมาว่า หมายถึงรักษาตั้งแต่ตอนไหน จุดไหนของชีวิต ข้อนี้หมอต้องการทราบตั้งแต่ตอนเกิดหรือจำความได้เลยค่ะ ถึงแม้จะยังแบเบาะแต่หากคุณแม่ต้องหอบหิ้วเราไปรักษานอนที่โรงพยาบาลก็ตอบเค้าไปตามนั้น ส่วนมากถ้าการเจ็บป่วยนั้นเกิดขึ้นนานมาแล้วจะไม่มีปัญหาอะไร แต่หมออาจจะถามเพิ่มว่า หมอรักษายังไง หายขาดแล้วหรือยัง (How was it treated? Are you still being treated for that?) 
      • Have you ever had a major surgery / operation?
        (เคยต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่หรือไม่) ข้อนี้ตอบให้หมดค่ะ มีน้องบางคนอายเรื่องทำหน้าอก ไม่ต้องอายค่ะ หมอเค้ามีจรรยาบรรณ  
      • Have you ever had any psychological problem such as depression, anxiety, mental problem? 
        (เคยมีปัญหาเกี่ยวกับสภาวะทางจิตใจที่ไม่ปกติ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกจริต กังวล สภาวะจิตไม่ปกติหรือไม่) 
      • Did you have cancer, diabetes, high blood pressure, or heart problem in the past 5 years? 
        (ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา มีอาการของโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือไม่) 
      • Do you have kidney or bladder disease? 
        (มีอาการของโรคที่เกี่ยวกับไตหรือกระเพาะปัสสาวะหรือไม่) 
      • Do you have any blood disease such as Anaemia
        (มีโรคทางเลือด เช่น ภาวะเลือดจาง หรือไม่) 
      • Do you have any problem or addiction with drugs or alcohol? 
        (มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้สารเสพติดหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือไม่)
      • Do you have any physical disabilities? 
        (มีอาการทุพพลภาพทางร่างกายใด ๆ หรือไม่)
      • Are you taking any medication at the moment? 
        (ตอนนี้ทานยาที่หมอสั่งอยู่หรือไม่)
      เท่าที่จำได้ มีเท่านี้ล่ะค่ะ ที่สำคัญ ๆ นอกเหนือจากนี้ถ้าผู้ขอตรวจร่างกายเป็นผู้หญิง หมอจะมีคำถามเพิ่มคือ 


      • Are you pregnant? 

        (ท้องอยู่รึเปล่า) 
      หลังจากนี้หมอก็จะร่ายรายละเอียดของผลตรวจร่างกายอื่น ๆ ให้ฟัง: 

      • ผลเอ๊กซเรย์ปอดและช่องอก โดยมากหมอจะยังไม่ได้รับผลตรวจโดยละเอียด แต่ส่วนใหญ่แล้วทุกเคสก็คือเท่าที่หมอดูทุกอย่างปกติดี หมอจะได้รับผลตรวจละเอียดจากแพทย์รังสีวิทยา (Radiologist) ภายหลัง 
      • ผลตรวจเลือดและปัสสาวะ หมอบางคนจะบอกระดับความดันโลหิต ซึ่งพี่ล่ามบางทีก็ฟังไม่ทัน ต้องขอทวนกันอีกรอบ แต่ก็รู้ไว้ใช่ว่าอะนะ ถ้าหากน้อง ๆ รู้ว่าความดันปกติอยู่ที่เท่าไหร่ก็ดีไป เราจะได้ระวังเรื่องอาหารการกินหลังจากนี้ ถ้าความดันสูงหมอก็จะบอก แต่เท่าที่แปลมาเป็นสิบ ๆ งานแล้วยังไม่เจอใครมีความดันสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์เลยค่ะ ส่วนผลตรวจปัสสาวะก็ไม่มีอะไรมาก โดยมากก็คงแค่เป็นการตรวจว่าท้องหรือไม่ หรือตรวจหาโรคทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้จากปัสสาวะ ทุกเคสที่เคยแปลมาก็ปกติค่ะ
      หลังจากนั้นหมอก็จะขอตรวจร่างกายเล็กน้อย เราจะต้องถอดเสื้อผ้าบางชิ้นออก มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่หมอค่ะ แต่ละรายไม่เหมือนกัน แต่เท่าที่เคยแปลมา ที่หมอจะให้ถอดมากที่สุดยังไงก็ยังเหลือกางเกงใน ชุดชั้นใน กับถุงเท้าไว้ได้ (คือไม่ต้องถอด) เมื่อปลงเครื่องเรียบร้อยแล้วหมอจะให้นอนรอตรวจบนเตียง สามารถดึงผ้ามาคลุมได้ถ้าอาย หมอจะฟังเสียงหายใจและปอด และจะให้เราหายใจเข้าออกลึก ๆ ตรวจช่องปาก แล้วก็อาจจะเช๊คนู่นนี่นั่นอีกเล็กน้อย หมอบางคนจะขอให้พี่ล่ามถือสายรอ (บางทีหมออาจขอตรวจร่างกายก่อนแล้วค่อยร่ายผลเอ๊กซเรย์กับตรวจเลือดให้ฟัง) ช่วงนี้พี่ล่ามจะฟังไม่ค่อยได้ยิน เพราะเตียงอยู่ไกลโทรศัพท์ ถ้าหากถึงวันตรวจร่างกายแล้วต้องใช้พี่ล่ามก็บอกพี่ล่ามได้นะคะให้บอกหมอให้พูดดัง ๆ 
        หมอบางคนอาจถามผู้ตรวจร่างกายว่าทำอะไรอยู่ เรียนหรือทำงาน แล้วเรียนอะไร หรือทำงานอะไร เข้าใจว่าข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำถามในแบบฟอร์ม คงไม่ใช่ความสนใจส่วนตัวของหมอ พี่ล่ามไม่ค่อยต้องแปลเท่าไหร่ แต่คิดว่าน้องบางคนอาจไม่ได้ตอบลงไปในฟอร์ม หมอก็เลยเอามาถามให้พี่ล่ามช่วยแปลให้ 
        เสร็จหมดแล้วก็กลับบ้านได้ ก่อนกลับบ้านหมอบางคนจะแนะว่าต้องไปเปลี่ยนชุด (คิดว่าน้อง ๆ คงต้องเปลี่ยนชุดเพื่อใส่เสื้อคลุมของโรงพยาบาลก่อนพบหมอ) แล้วนำกุญแจไปคืนที่เคาน์เตอร์รีเซพชั่น 

        โดยปกติขั้นตอนตรวจร่างกายและสอบถามประวัติสุขภาพไม่มีอะไรมากเลย ส่วนใหญ่พี่ล่ามใช้เวลาแปลทางโทรศัพท์ประมาณ 4-5 นาทีเท่านั้นค่ะ ขอย้ำอีกครั้งสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการใช้เอเย่นต์ช่วยทำเรื่องต่อวีซ่าให้ ว่าน้อง ๆ ต้องถามเอเย่นต์นะคะว่าให้ช่วยอธิบายสิ่งที่เอเย่นต์จะกรอกลงในแบบฟอร์มแทนน้องว่ามีอะไรบ้าง สำคัญมากนะคะว่าเราจะต้องรู้ว่าเราตอบอะไรลงไป เพราะยังไงฟอร์มนั้นก็มีผลกับตัวน้องเองและเราก็ต้องลงลายเซ็น เพราะฉนั้นหากมีข้อผิดพลาดหรือในการกรอกแบบฟอร์มหรือมีคำตอบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงจากเอเย่นต์เราก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

        ทางมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นได้ลงข้อมูลสำหรับขั้นตอนการขอต่อวีซ่าไว้ที่นี่ ควรอ่านก่อนวีซ่าหมดอายุแต่เนิ่น ๆ ค่ะจะได้เตรียมเอกสารให้ครบเวลาไปถึง

        คราวหน้าจะมาอธิบายเรื่องการขอเปิดบัญชีไฟฟ้าค่ะ เพราะมีงานแปลทางโทรศัพท์จากบริษัทไฟฟ้าบางงานที่น้อง ๆ ที่ขอเปิดไฟทำผิดพลาด ทำให้มีปัญหาในการย้ายเข้า