เลยคิดว่าน่าจะแชร์คำถามเหล่านี้ให้น้องนักเรียนไทยหรือผู้ที่พักอยู่ที่ออสเตรเลียที่ต้องไปตรวจร่างกายเพื่อต่อวีซ่าได้รู้ไว้เป็นแนวทาง เวลาไปตรวจร่างกายจะได้ตอบคำถามได้ถูกต้อง
พี่เองก็ไม่เคยเห็นแบบฟอร์มนี้มาหลายปีแล้ว ไม่แน่ใจว่ามีคำถามอะไรบ้างแน่ ๆ แต่โดยมาก คำถามเค้าจะเรียงลงมาตามลำดับ หมอส่วนใหญ่จะอ่านร่ายลงมาตามแต่ละข้อ ก็เลยพอจำได้ว่ามีอะไรบ้าง มีหมอไม่กี่คนเท่านั้นที่ถามข้ามไปข้ามมา มีหมอคนนึงคงข้ามบนกระโดดลงล่างจนจำไม่ได้ว่าถามอะไรไปบ้าง วกกลับมาถามคำถามเดิม
เอาเป็นว่า บริษัทประกันสุขภาพที่ได้รับหน้าที่ตรวจสุขภาพผู้ยื่นขอวีซ่ามีชื่อว่า Bupa (บอกไว้ในกรณีที่ได้ยินเค้าเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา) ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะสมัยก่อนตอนพี่ต้องขอต่อวีซ่าก็ไม่ได้เป็น Bupa
ประวัติสุขภาพหลัก ๆ ที่เราต้องตอบก็คือ:
- Have you ever had Tuberculosis? (เคยเป็นโรควัณโรคหรือไม่)
- Have you ever lived with or been in contact with anyone with Tuberculosis?
- Have you ever had blood test for HIV, Hepatitis B or C?
- Have you ever been admitted to a hospital?
- Have you ever had a major surgery / operation?
- Have you ever had any psychological problem such as depression, anxiety, mental problem?
- Did you have cancer, diabetes, high blood pressure, or heart problem in the past 5 years?
- Do you have kidney or bladder disease?
- Do you have any blood disease such as Anaemia
- Do you have any problem or addiction with drugs or alcohol?
- Do you have any physical disabilities?
- Are you taking any medication at the moment?
- Are you pregnant?
- ผลเอ๊กซเรย์ปอดและช่องอก โดยมากหมอจะยังไม่ได้รับผลตรวจโดยละเอียด แต่ส่วนใหญ่แล้วทุกเคสก็คือเท่าที่หมอดูทุกอย่างปกติดี หมอจะได้รับผลตรวจละเอียดจากแพทย์รังสีวิทยา (Radiologist) ภายหลัง
- ผลตรวจเลือดและปัสสาวะ หมอบางคนจะบอกระดับความดันโลหิต ซึ่งพี่ล่ามบางทีก็ฟังไม่ทัน ต้องขอทวนกันอีกรอบ แต่ก็รู้ไว้ใช่ว่าอะนะ ถ้าหากน้อง ๆ รู้ว่าความดันปกติอยู่ที่เท่าไหร่ก็ดีไป เราจะได้ระวังเรื่องอาหารการกินหลังจากนี้ ถ้าความดันสูงหมอก็จะบอก แต่เท่าที่แปลมาเป็นสิบ ๆ งานแล้วยังไม่เจอใครมีความดันสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์เลยค่ะ ส่วนผลตรวจปัสสาวะก็ไม่มีอะไรมาก โดยมากก็คงแค่เป็นการตรวจว่าท้องหรือไม่ หรือตรวจหาโรคทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้จากปัสสาวะ ทุกเคสที่เคยแปลมาก็ปกติค่ะ
หลังจากนั้นหมอก็จะขอตรวจร่างกายเล็กน้อย เราจะต้องถอดเสื้อผ้าบางชิ้นออก มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่หมอค่ะ แต่ละรายไม่เหมือนกัน แต่เท่าที่เคยแปลมา ที่หมอจะให้ถอดมากที่สุดยังไงก็ยังเหลือกางเกงใน ชุดชั้นใน กับถุงเท้าไว้ได้ (คือไม่ต้องถอด) เมื่อปลงเครื่องเรียบร้อยแล้วหมอจะให้นอนรอตรวจบนเตียง สามารถดึงผ้ามาคลุมได้ถ้าอาย หมอจะฟังเสียงหายใจและปอด และจะให้เราหายใจเข้าออกลึก ๆ ตรวจช่องปาก แล้วก็อาจจะเช๊คนู่นนี่นั่นอีกเล็กน้อย หมอบางคนจะขอให้พี่ล่ามถือสายรอ (บางทีหมออาจขอตรวจร่างกายก่อนแล้วค่อยร่ายผลเอ๊กซเรย์กับตรวจเลือดให้ฟัง) ช่วงนี้พี่ล่ามจะฟังไม่ค่อยได้ยิน เพราะเตียงอยู่ไกลโทรศัพท์ ถ้าหากถึงวันตรวจร่างกายแล้วต้องใช้พี่ล่ามก็บอกพี่ล่ามได้นะคะให้บอกหมอให้พูดดัง ๆ
เสร็จหมดแล้วก็กลับบ้านได้ ก่อนกลับบ้านหมอบางคนจะแนะว่าต้องไปเปลี่ยนชุด (คิดว่าน้อง ๆ คงต้องเปลี่ยนชุดเพื่อใส่เสื้อคลุมของโรงพยาบาลก่อนพบหมอ) แล้วนำกุญแจไปคืนที่เคาน์เตอร์รีเซพชั่น
โดยปกติขั้นตอนตรวจร่างกายและสอบถามประวัติสุขภาพไม่มีอะไรมากเลย ส่วนใหญ่พี่ล่ามใช้เวลาแปลทางโทรศัพท์ประมาณ 4-5 นาทีเท่านั้นค่ะ ขอย้ำอีกครั้งสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการใช้เอเย่นต์ช่วยทำเรื่องต่อวีซ่าให้ ว่าน้อง ๆ ต้องถามเอเย่นต์นะคะว่าให้ช่วยอธิบายสิ่งที่เอเย่นต์จะกรอกลงในแบบฟอร์มแทนน้องว่ามีอะไรบ้าง สำคัญมากนะคะว่าเราจะต้องรู้ว่าเราตอบอะไรลงไป เพราะยังไงฟอร์มนั้นก็มีผลกับตัวน้องเองและเราก็ต้องลงลายเซ็น เพราะฉนั้นหากมีข้อผิดพลาดหรือในการกรอกแบบฟอร์มหรือมีคำตอบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงจากเอเย่นต์เราก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
ทางมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นได้ลงข้อมูลสำหรับขั้นตอนการขอต่อวีซ่าไว้ที่นี่ ควรอ่านก่อนวีซ่าหมดอายุแต่เนิ่น ๆ ค่ะจะได้เตรียมเอกสารให้ครบเวลาไปถึง
ทางมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นได้ลงข้อมูลสำหรับขั้นตอนการขอต่อวีซ่าไว้ที่นี่ ควรอ่านก่อนวีซ่าหมดอายุแต่เนิ่น ๆ ค่ะจะได้เตรียมเอกสารให้ครบเวลาไปถึง
คราวหน้าจะมาอธิบายเรื่องการขอเปิดบัญชีไฟฟ้าค่ะ เพราะมีงานแปลทางโทรศัพท์จากบริษัทไฟฟ้าบางงานที่น้อง ๆ ที่ขอเปิดไฟทำผิดพลาด ทำให้มีปัญหาในการย้ายเข้า
No comments:
Post a Comment