Saturday, 29 August 2015

ตรวจร่างกายตอนยื่นขอต่อวีซ่า

เพราะทำงานเป็นล่าม(ทั้งทางโทรศัพท์และตามสถานที่) บ่อยครั้งที่ได้รับโทรศัพท์จากหมอซึ่งมีหน้าที่ตรวจสุขภาพผู้ยื่นขอต่อวีซ่า คำถามที่หมอต้องถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพก็เหมือนเดิมทุกครั้ง ซึ่งหากไม่เคยเรียนหมอหรือพยาบาลมาคงไม่รู้ว่าศัพท์เหล่านั้นคืออะไร จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ศัพท์เฉพาะที่แค่หมอหรือพยาบาลเท่านั้นที่เข้าใจ เป็นคำธรรมดาเท่านั้นแหละ เพียงแต่เป็นภาษาอังกฤษ เคยรับโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง คนที่มาตรวจร่างกายเพื่อต่อวีซ่าเป็นนักเรียน น้องคนนั้นถึงกับไปจ้างเอเย่นต์ให้กรอกแบบฟอร์มให้ พอมาถึงหมอ หมอถามว่าเคยเป็นโรคนั้นโรคนี้รึเปล่า น้องตอบไม่ได้ซักคำถามเพราะไม่เข้าใจว่าถามถึงอะไร หมอถึงกับอึ้ง เพราะการให้คนอื่นกรอกแบบฟอร์มยื่นสถานฑูตให้โดยเจ้าตัวยินยอมทุกประการแต่ไม่รู้ว่ากรอกอะไรลงไปบ้างนี้ถือเป็นเรื่องค่อนข้างซีเรียส หากน้องเค้าเคยเป็นโรคร้ายแรงอย่างเช่นมะเร็ง แต่ทางเอเย่นต์ตอบให้ว่า ไม่เคย นี่ถือเป็นการโกหก สถานฑูตมีสิทธิ์เพิกถอนวีซ่าของน้องเค้าได้ 

เลยคิดว่าน่าจะแชร์คำถามเหล่านี้ให้น้องนักเรียนไทยหรือผู้ที่พักอยู่ที่ออสเตรเลียที่ต้องไปตรวจร่างกายเพื่อต่อวีซ่าได้รู้ไว้เป็นแนวทาง เวลาไปตรวจร่างกายจะได้ตอบคำถามได้ถูกต้อง 

พี่เองก็ไม่เคยเห็นแบบฟอร์มนี้มาหลายปีแล้ว ไม่แน่ใจว่ามีคำถามอะไรบ้างแน่ ๆ แต่โดยมาก คำถามเค้าจะเรียงลงมาตามลำดับ หมอส่วนใหญ่จะอ่านร่ายลงมาตามแต่ละข้อ ก็เลยพอจำได้ว่ามีอะไรบ้าง มีหมอไม่กี่คนเท่านั้นที่ถามข้ามไปข้ามมา มีหมอคนนึงคงข้ามบนกระโดดลงล่างจนจำไม่ได้ว่าถามอะไรไปบ้าง วกกลับมาถามคำถามเดิม 

เอาเป็นว่า บริษัทประกันสุขภาพที่ได้รับหน้าที่ตรวจสุขภาพผู้ยื่นขอวีซ่ามีชื่อว่า Bupa (บอกไว้ในกรณีที่ได้ยินเค้าเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา) ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะสมัยก่อนตอนพี่ต้องขอต่อวีซ่าก็ไม่ได้เป็น Bupa 

ประวัติสุขภาพหลัก ๆ ที่เราต้องตอบก็คือ: 
  • Have you ever had Tuberculosis? 
  • (เคยเป็นโรควัณโรคหรือไม่)
  • Have you ever lived with or been in contact with anyone with Tuberculosis? 
    (เคยต้องอยู่ร่วมอาศัยกับ หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยด้วยโรควัณโรคหรือไม่)
  • Have you ever had blood test for HIV, Hepatitis B or C? 
    (เคยต้องตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อโรคเอดส์,​ โรคไวรัสตับอักเสบ B หรือ C หรือไม่)
  • Have you ever been admitted to a hospital? 
    (เคยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือไม่) ข้อสังเกตข้อนี้ก็คือ ที่นี่ไม่มีใครเดินเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อขอรับการรักษาได้นอกจากจะมีเหตุฉุกเฉิน ในกรณีที่ป่วยไข้ไม่สบายจะต้องเข้าคลินิกเท่านั้น หากมีอาการรุนแรงที่แพทย์ที่คลินิกไม่สามารถวินิจฉัยได้เค้าถึงจะออกใบรับรอง (referral) ให้เราไปรับการรักษาหรือตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล เพราะฉนั้น ถ้าแค่เป็นไข้หวัดแต่ไปนอนให้น้ำเกลือในโรงพยาบาล 2-3 วัน ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ก็ต้องตอบหมอไปตามตรง (อาจจะถูกถามเพิ่มว่าทำไมถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล เราก็บอกเค้าได้ว่าระบบไม่เหมือนกัน โรงพยาบาลที่เมืองไทยไม่ต้องใช้ referral) และบอกด้วยว่าไปนอนรับการรักษาด้วยโรคอะไร นานแค่ไหน กี่ปีมาแล้ว และข้อนี้มีน้องหลายคนถามพี่ล่ามมาว่า หมายถึงรักษาตั้งแต่ตอนไหน จุดไหนของชีวิต ข้อนี้หมอต้องการทราบตั้งแต่ตอนเกิดหรือจำความได้เลยค่ะ ถึงแม้จะยังแบเบาะแต่หากคุณแม่ต้องหอบหิ้วเราไปรักษานอนที่โรงพยาบาลก็ตอบเค้าไปตามนั้น ส่วนมากถ้าการเจ็บป่วยนั้นเกิดขึ้นนานมาแล้วจะไม่มีปัญหาอะไร แต่หมออาจจะถามเพิ่มว่า หมอรักษายังไง หายขาดแล้วหรือยัง (How was it treated? Are you still being treated for that?) 
  • Have you ever had a major surgery / operation?
    (เคยต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่หรือไม่) ข้อนี้ตอบให้หมดค่ะ มีน้องบางคนอายเรื่องทำหน้าอก ไม่ต้องอายค่ะ หมอเค้ามีจรรยาบรรณ  
  • Have you ever had any psychological problem such as depression, anxiety, mental problem? 
    (เคยมีปัญหาเกี่ยวกับสภาวะทางจิตใจที่ไม่ปกติ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกจริต กังวล สภาวะจิตไม่ปกติหรือไม่) 
  • Did you have cancer, diabetes, high blood pressure, or heart problem in the past 5 years? 
    (ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา มีอาการของโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือไม่) 
  • Do you have kidney or bladder disease? 
    (มีอาการของโรคที่เกี่ยวกับไตหรือกระเพาะปัสสาวะหรือไม่) 
  • Do you have any blood disease such as Anaemia
    (มีโรคทางเลือด เช่น ภาวะเลือดจาง หรือไม่) 
  • Do you have any problem or addiction with drugs or alcohol? 
    (มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้สารเสพติดหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือไม่)
  • Do you have any physical disabilities? 
    (มีอาการทุพพลภาพทางร่างกายใด ๆ หรือไม่)
  • Are you taking any medication at the moment? 
    (ตอนนี้ทานยาที่หมอสั่งอยู่หรือไม่)
เท่าที่จำได้ มีเท่านี้ล่ะค่ะ ที่สำคัญ ๆ นอกเหนือจากนี้ถ้าผู้ขอตรวจร่างกายเป็นผู้หญิง หมอจะมีคำถามเพิ่มคือ 


  • Are you pregnant? 

    (ท้องอยู่รึเปล่า) 
หลังจากนี้หมอก็จะร่ายรายละเอียดของผลตรวจร่างกายอื่น ๆ ให้ฟัง: 

  • ผลเอ๊กซเรย์ปอดและช่องอก โดยมากหมอจะยังไม่ได้รับผลตรวจโดยละเอียด แต่ส่วนใหญ่แล้วทุกเคสก็คือเท่าที่หมอดูทุกอย่างปกติดี หมอจะได้รับผลตรวจละเอียดจากแพทย์รังสีวิทยา (Radiologist) ภายหลัง 
  • ผลตรวจเลือดและปัสสาวะ หมอบางคนจะบอกระดับความดันโลหิต ซึ่งพี่ล่ามบางทีก็ฟังไม่ทัน ต้องขอทวนกันอีกรอบ แต่ก็รู้ไว้ใช่ว่าอะนะ ถ้าหากน้อง ๆ รู้ว่าความดันปกติอยู่ที่เท่าไหร่ก็ดีไป เราจะได้ระวังเรื่องอาหารการกินหลังจากนี้ ถ้าความดันสูงหมอก็จะบอก แต่เท่าที่แปลมาเป็นสิบ ๆ งานแล้วยังไม่เจอใครมีความดันสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์เลยค่ะ ส่วนผลตรวจปัสสาวะก็ไม่มีอะไรมาก โดยมากก็คงแค่เป็นการตรวจว่าท้องหรือไม่ หรือตรวจหาโรคทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้จากปัสสาวะ ทุกเคสที่เคยแปลมาก็ปกติค่ะ
หลังจากนั้นหมอก็จะขอตรวจร่างกายเล็กน้อย เราจะต้องถอดเสื้อผ้าบางชิ้นออก มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่หมอค่ะ แต่ละรายไม่เหมือนกัน แต่เท่าที่เคยแปลมา ที่หมอจะให้ถอดมากที่สุดยังไงก็ยังเหลือกางเกงใน ชุดชั้นใน กับถุงเท้าไว้ได้ (คือไม่ต้องถอด) เมื่อปลงเครื่องเรียบร้อยแล้วหมอจะให้นอนรอตรวจบนเตียง สามารถดึงผ้ามาคลุมได้ถ้าอาย หมอจะฟังเสียงหายใจและปอด และจะให้เราหายใจเข้าออกลึก ๆ ตรวจช่องปาก แล้วก็อาจจะเช๊คนู่นนี่นั่นอีกเล็กน้อย หมอบางคนจะขอให้พี่ล่ามถือสายรอ (บางทีหมออาจขอตรวจร่างกายก่อนแล้วค่อยร่ายผลเอ๊กซเรย์กับตรวจเลือดให้ฟัง) ช่วงนี้พี่ล่ามจะฟังไม่ค่อยได้ยิน เพราะเตียงอยู่ไกลโทรศัพท์ ถ้าหากถึงวันตรวจร่างกายแล้วต้องใช้พี่ล่ามก็บอกพี่ล่ามได้นะคะให้บอกหมอให้พูดดัง ๆ 
    หมอบางคนอาจถามผู้ตรวจร่างกายว่าทำอะไรอยู่ เรียนหรือทำงาน แล้วเรียนอะไร หรือทำงานอะไร เข้าใจว่าข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำถามในแบบฟอร์ม คงไม่ใช่ความสนใจส่วนตัวของหมอ พี่ล่ามไม่ค่อยต้องแปลเท่าไหร่ แต่คิดว่าน้องบางคนอาจไม่ได้ตอบลงไปในฟอร์ม หมอก็เลยเอามาถามให้พี่ล่ามช่วยแปลให้ 
    เสร็จหมดแล้วก็กลับบ้านได้ ก่อนกลับบ้านหมอบางคนจะแนะว่าต้องไปเปลี่ยนชุด (คิดว่าน้อง ๆ คงต้องเปลี่ยนชุดเพื่อใส่เสื้อคลุมของโรงพยาบาลก่อนพบหมอ) แล้วนำกุญแจไปคืนที่เคาน์เตอร์รีเซพชั่น 

    โดยปกติขั้นตอนตรวจร่างกายและสอบถามประวัติสุขภาพไม่มีอะไรมากเลย ส่วนใหญ่พี่ล่ามใช้เวลาแปลทางโทรศัพท์ประมาณ 4-5 นาทีเท่านั้นค่ะ ขอย้ำอีกครั้งสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการใช้เอเย่นต์ช่วยทำเรื่องต่อวีซ่าให้ ว่าน้อง ๆ ต้องถามเอเย่นต์นะคะว่าให้ช่วยอธิบายสิ่งที่เอเย่นต์จะกรอกลงในแบบฟอร์มแทนน้องว่ามีอะไรบ้าง สำคัญมากนะคะว่าเราจะต้องรู้ว่าเราตอบอะไรลงไป เพราะยังไงฟอร์มนั้นก็มีผลกับตัวน้องเองและเราก็ต้องลงลายเซ็น เพราะฉนั้นหากมีข้อผิดพลาดหรือในการกรอกแบบฟอร์มหรือมีคำตอบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงจากเอเย่นต์เราก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

    ทางมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นได้ลงข้อมูลสำหรับขั้นตอนการขอต่อวีซ่าไว้ที่นี่ ควรอ่านก่อนวีซ่าหมดอายุแต่เนิ่น ๆ ค่ะจะได้เตรียมเอกสารให้ครบเวลาไปถึง

    คราวหน้าจะมาอธิบายเรื่องการขอเปิดบัญชีไฟฟ้าค่ะ เพราะมีงานแปลทางโทรศัพท์จากบริษัทไฟฟ้าบางงานที่น้อง ๆ ที่ขอเปิดไฟทำผิดพลาด ทำให้มีปัญหาในการย้ายเข้า

    No comments:

    Post a Comment