ขอโทษทีค่ะที่หายไปนานมา..า..ก ยุ่งมากค่ะ ทั้งงานล่าม งานพิเศษ งานศพ.. ใช่ค่ะ งานศพ เศร้า..
ตามที่สัญญาไว้คราวที่แล้ว คราวนี้พี่ล่ามจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องของ credit rating ในฐานะผู้บริโภคให้น้อง ๆ ฟังค่ะ ว่ามันสำคัญกับเราอย่างไร
เครดิตในที่นี้หมายถึงความน่าเชื่อถือค่ะ บริษัทที่ให้บริการแบบใช้ก่อนจ่ายทีหลังทั้งหลายจะเชื่อมโยงระบบข้อมูลลูกค้าของเค้ากับหน่วยงานที่จัดระดับความน่าเชื่อถือทั้งหลาย หน่วยงานเหล่านี้ที่ดัง ๆ ก็มีสองสามชื่อที่พวกเราคงเคยได้ยินติดหูกันมา Standard & Poor (S&P) ของอเมริกา, ในออสเตรเลียที่พี่พอทราบก็มี Veda Advantage กับ Dunn & Bradstreet เครดิตเรทติ้งแบ่งได้สองประเภทใหญ่ ๆ คือ เรทติ้งของผู้บริโภคเป็นรายบุคคล และเรทติ้งของบริษัท ที่เราจะพูดถึงวันนี้คือของผู้บริโภค ซึ่งหน่วยงานที่ทำการรวบรวมเครดิตไว้ก็คือ Veda Advantage ส่วน Dunn & Bradstreet รู้สึกจะจัดระดับบริษัทเท่านั้น ไม่ทราบเปลี่ยนรึยัง
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้เริ่มใช้บริการใช้ก่อนจ่ายทีหลัง (post-pay) เป็นชื่อของเรา เมื่อนั้นแหล่ะค่ะ ที่เครดิตเรทติ้งของเราจะเริ่มต้น บริการใช้ก่อนจ่ายทีหลังหลัก ๆ ก็อย่างเช่น เปิดใช้มือถือแบบแพลน เปิดใช้ระบบสาธารณูปโภค เปิดบัตรเครดิต หากเราเป็นนักเรียนต่างชาติ เพิ่งมาถึงออสเตรเลีย ก็เท่ากับว่าเราไม่เคยมีเครดิตค่ะ ดังนั้นจะขอเปิดใช้บริการโพสท์เพย์จะค่อนข้างยาก แถมด้วยความที่วีซ่าเรามีระยะสั้น บริษัทเหล่านี้จะไม่ค่อยไว้ใจให้เราใช้บริการเท่าไหร่ และอีกอย่างเราไม่ได้ทำงาน จึงไม่มีรายได้หลักเป็นการค้ำประกันว่าเราจะสามารถจ่ายบิลตรงตามกำหนดทุกบิลหรือไม่
ข้อยกเว้นคือบัตรเครดิตค่ะ ถ้าบัญชีเงินเก็บเราค่อนข้างอ้วนธนาคารบางแห่งที่โลภอยากกินดอกเบี้ยจากเราอาจจะยอมเปิดบัตรเครดิตวงเงินน้อย ๆ ให้ค่ะ ส่วนบริษัทมือถืออาจยากนิดนึงค่ะ นอกจากว่าวีซ่าเราจะยาวกว่า 2 ปี เพราะแพลนส่วนใหญ่อย่างน้อย 2 ปีทั้งนั้น บริษัทสาธารณูปโภคไม่สามารถปฏิเสธเราได้ค่ะถ้าเราขอเปิดบัญชีใช้น้ำ ไฟ แก๊ส เพราะเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นส่วนใหญ่เครดิตของเราจะเริ่มจากบริษัทน้ำ ไฟ แก๊ส เนี่ยแหล่ะค่ะ
น้องบางคนที่เคยขอเปิดใช้สาธารณูปโภคด้วยตัวเองมาแล้วอาจจำได้ว่า พนักงานจะบอกเราให้ถือสายรอในขณะที่เค้าขอเช๊กเครดิตเรทติ้งของเราถ้าเราไม่เคยเป็นลูกค้าเค้า หากเรามีเครดิตมาก่อนและรักษาเครดิตดีก็จะง่ายค่ะ ใช้ไปเลย 3 เดือน แล้วถึงจะได้บิลเก็บเงิน ถ้าเราไม่เคยมีเครดิตมาก่อน บริษัทเค้าก็จะให้เราเปิดใช้สาธารณูปโภค (น่าจะหลัก ๆ ที่แก๊ส กับไฟค่ะ เพราะแพงกว่าน้ำเยอะ) แบบจ่ายรายเดือนเป็นจำนวนที่เค้ากำหนดไว้ โดยมากมักจะมากกว่าที่ใช้จริง ถ้าน้อง ๆ อ่านบล๊อกที่แล้วที่พี่เขียนไว้คงจำได้ว่าที่นี่เค้าส่งบิลเก็บเงินทุก ๆ 3 เดือน แทนที่จะเป็นทุกเดือน เนื่องจากเค้าส่งคนมาอ่านมิเตอร์ทุก 3 เดือน ดังนั้นหากน้อง ๆ ต้องจ่ายบิลเป็นรายเดือนเนื่องจากเรายังไม่มีเครดิต จำไว้นะคะว่า ทุก 2 บิลแรกจะเป็นค่าใช้จ่ายจากการสุ่มคำนวณการใช้ของเรา พอเข้าบิลที่ 3 ซึ่งมาจากการอ่านมิเตอร์ บิลถึงจะมาจากการใช้จริงของ 3 เดือนที่ผ่านมา เค้าจะเอาไปหักลบกับยอดที่เราจ่ายไปเมื่อ 2 บิลที่ผ่านมาก่อน ดังนั้นบิลของทุก ๆ 3 เดือนจะเป็นบิลตามจริง หากเค้าสุ่มคำนวณ 2 บิลแรกที่มาถึงเราน้อยกว่าความเป็นจริง บิลที่ 3 ก็อาจจะสูง บางรายถึงกับช๊อกจนต้องโทรไปสอบถามบริษัทซึ่งก็โทรเรียกพี่ล่ามมาช่วยแปลให้อีกที บางรายอาจได้รับบิลที่ 3 น้อยกว่าปกติเพราะจ่ายเยอะกว่าที่ใช้จริงเมื่อ 2 บิลแรก สรุปใจความก็คือ บิลที่ 3 จะเป็นบิลตามจริง จำนวนเงินที่เรียกเก็บจากเราเท่ากับจำนวนน้ำ แก๊ส หรือไฟ ที่เราใช้ไปเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะฉนั้น สำหรับน้องที่ต้องจ่ายรายเดือน หนึ่งปีเราจะได้รับบิลตามจำนวนใช้ 4 ครั้ง ส่วนที่เหลือคือการสุ่มคำนวณ โดยปกติบริษัทจะปรับยอดคำนวณค่าใช้หลังจากผ่านไประยะหนึ่งแล้ว เราจะได้ไม่ช๊อกเมื่อได้รับบิลตามจริง แต่สามารถโทรไปสอบถามและขอให้เค้าปรับยอดขึ้นได้หากกลัวจะมีปัญหาจ่ายเงินเป็นจำนวนมากทุกคร้ังที่ได้รับบิลตามจริง
นิสัยการจ่ายบิลของเราจะเริ่มส่งผลถึงเครดิตเรทติ้งของเราก็ตอนนี้ล่ะค่ะ อย่างที่พี่บอกไว้คราวที่แล้ว จ่ายตรงตามเวลาครบตามจำนวนทุกครั้ง ไฟเขียวค่ะ ยิ่งทำแบบนี้หลาย ๆ ปียิ่งหมายถึงประวัติของเราจะดีมาก ส่วนใครที่ใจป้ำจ่ายก่อนกำหนดหรือบางทีจ่ายเกินเป็นประจำ อันนี้เขียวเข้มเลยค่ะ (บริษัทเค้าเอายอดที่จ่ายเกินไปหักกับบิลงวดหน้าค่ะ เงินเราไม่หายไปไหน) ส่วนคนที่จ่ายช้า ก็จะเป็นสีเหลือง ช้าบ่อย ๆ เข้าก็จะเป็นสีแดง ถ้าเค้าตามเก็บเงินไม่ได้เลย เรทติ้งของเราก็จะติดตัวแดงเลยค่ะ ติดตัวแดงนี่มีผล 5 ปีค่ะ เราจะขอเปิดบริการโพสท์เพย์ไม่ได้ไป 5 ปีหลังจากใช้หนี้หมด พอเห็นความสำคัญหรือยังคะ
นอกจากเครดิตเรทติ้งจะมีผลต่อการขอเปิดใช้บริการโพสท์เพย์ต่าง ๆ แล้ว ยังมีผลถึงการขอเงินกู้และขอบัตรเครดิตด้วยค่ะ บัตรเครดิตนี่แค่เรามีเงินเก็บเล็กน้อยก็อาจจะได้แล้วค่ะ วงเงินอาจไม่มาก แต่ธนาคารเค้าเล็งที่ดอกเบี้ยที่เค้าจะได้ค่ะ แต่ถ้าเรามีเงินเก็บ ปิดยอดชำระที่ 0 ทุกครั้ง หรืออย่างน้อยจ่ายตรงกำหนดทุกครั้งเราอาจได้บัตรที่วงเงินสูงหน่อย เพราะธนาคารเค้ารู้ว่ายังไงเราก็จ่าย ยังไงเราก็จะไม่กลายเป็นหนี้เสีย ส่วนเรื่องเงินกู้อันนี้จะต่างกันหน่อยค่ะ ที่เราเคยได้ยินกันว่า มีหนี้ถือว่ามีเครดิต เนี่ย ไม่จริงเสมอไปนะคะ ถ้าเรามีหนี้และจ่ายตรงตามกำหนดที่ธนาคารแจ้งไว้ทุกครั้ง อันนี้ค่ะ เครดิตดี มีหนี้แต่จ่ายเบี้ยวไปเบี้ยวมา ช้าบ้าง ตรงบ้าง จ่ายไม่ครบบ้าง อันนี้เครดิตไม่ดีค่ะ และเวลาขอเงินกู้ยอดโต ๆ อย่างเช่น เวลาซื้อบ้าน ซื้อรถ เค้าจะขอดูว่าเรามีบัตรเครดิตกี่ใบ แต่ละใบมีวงเงินเท่าไหร่ และมียอดเดบิต (คือยอดที่เราต้องชำระ) เท่าไหร่ ยิ่งยอดค้างชำระน้อย ยิ่งหมายถึงเครดิตดีค่ะ เครดิตในการขอเงินกู้ไม่ได้หมายถึงแค่เรามียอดวงเงินบัตรโดยรวมเท่าไหร่นะคะ แต่หมายถึงเราสามารถจ่ายเงินได้ทุกงวดและจ่ายได้ดีแค่ไหนด้วยต่างหาก ตรงนี้สำคัญกว่า เพราะเมื่อธนาคารปล่อยกู้ เค้าก็หวังว่าเราจะสามารถผ่อนชำระได้ทุกงวดโดยไม่มีปัญหา เพราะฉนั้นถ้ายอดค้างชำระในบัตรเครดิตสูงกว่าจำนวนเงินที่เราจ่ายทุกงวด ๆ เนี่ย เค้าจะเพ่งเล็ง
วกกลับมาที่หน่วยงานจัดระดับเครดิตของเรา เค้าจะได้รับข้อมูลการจ่ายบิลของเราจากบริษัทสาธารณูปโภค จากธนาคาร และบิลใด ๆ ก็ตามที่ส่งถึงเราถ้าเป็นไปได้ เรทติ้งของเราจะถูกคิดคำนวณจากประวัติการจ่ายเงินของหลาย ๆ บริษัทค่ะ ดังนั้นรักษานิสัยการจ่ายบิลของเราให้ดีและสม่ำเสมอทุก ๆ บิลนะคะ และถ้าวันหนึ่งข้างหน้าน้อง ๆ เปิดกิจการหรือเปิดร้านอาหารก็ต้องรักษาเครดิตของธุรกิจเราให้ดีด้วยนะคะ อย่าลืมส่งข่าวมาให้พี่ล่ามทราบถ้าหากเปิดร้านอาหาร คิดถึงอาหารไทยค่ะ..
No comments:
Post a Comment