เมื่อรู้ถึงเบื้องหลังแล้วเราก็คงพอจะเดาออกว่าคนที่นั่งอ่านเรซูเม่วันละหลายสิบฉบับนั้น เค้าต้องการหาอะไรในตัวผู้สมัคร สรุปง่าย ๆ ประสบการณ์ที่ตรงกับสายงานนั่นแหล่ะค่ะ ปริญญาไม่มีส่วนสำคัญเท่าไหร่เลยโดยเฉพาะถ้าในประกาศงานไม่ได้บอกไว้ว่าต้องจบอะไร
นอกจากนี้ ประกาศงานที่นี่ยังไม่สนใจว่าผู้สมัครเป็นเพศหญิงหรือชาย อายุเท่าไหร่ แต่งงานหรือยัง เพราะกฏหมายแรงงานที่นี่แรง ดังนั้นคนเขียนประกาศงานมักจะเลี่ยงการพาดพิงถึงสิ่งที่เป็นการแยกแยะผู้สมัครจากความสามารถ และเช่นเดียวกันเค้าจะไม่เรียกคนที่ลงรายละเอียดเหล่านี้มาสัมภาษณ์ เพราะไม่งั้นบริษัทอาจถูกโจมตีได้ว่าไม่ยอมรับผู้หญิงที่แต่งงานหรือมีลูกแล้วเข้าทำงานหากผู้สมัครเหล่านั้นไม่ผ่านสัมภาษณ์ถึงแม้ว่าเค้าจะเลือกดูแค่ทักษะก็ตาม และตามหลักกฎหมายของที่นี่บริษัทไม่สามารถสอบถามข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้จากผู้สมัคร เนื่องจากผิดกฎหมายแรงงาน น้อง ๆ ที่เคยลองอ่านประกาศสมัครงานของที่นี่ดูคงจะพอจำได้ว่าประกาศงานที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยบอกว่ารับผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ถามหาอายุหรือสถานภาพสมรส และไม่ค่อยเจาะจงว่าจะต้องจบอะไรมา ส่วนใหญ่มักพูดถึงประสบการณ์มากกว่า
กว่าพี่ล่ามจะจับทางถูกก็ร่อนเรซูเม่ไปหลายบริษัทเหมือนกันค่ะ ใครจะไปรู้ ก็งานบ้านเราส่วนใหญ่ก็ลงว่ารับอายุเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ เราก็ใส่มันให้หมดเลย ที่ไหนได้ เรซูเม่เราคงลงก้นถังทุกครั้ง พอจับทางถูกก็นั่งเขียนเรซูเม่ใหม่หมด แล้วก็เริ่มได้รับนัดไปสัมภาษณ์
สิ่งที่พี่ล่ามเห็นในเรซูเม่ของน้อง ๆ คนไทยส่วนใหญ่ก็คือ เราใช้วิธีเขียนเรซูเม่ในลักษณะที่คนไทยต้องการอ่าน ซึ่งก็คือระบุเพศ สถานภาพการแต่งงาน อายุ และ การศึกษาไว้ด้านบนสุด พี่ล่ามเคยช่วยหัวหน้านั่งคัดเลือกเรซูเม่ตอนที่ทำงานที่แรก หัวหน้าลงประกาศตำแหน่งว่างไว้ 3 อัตรา งานง่าย ๆ คีย์ข้อมูลลูกค้าจากโทรศัพท์เข้าดาต้าเบส น้องเชื่อพี่เถอะค่ะ ว่าตำแหน่งหลาย ๆ ตำแหน่งในบ้านเราที่เราคิดว่าเด็กจบตรีจบโทเท่านั้นถึงจะมีโอกาสน่ะ ไม่ใช่ที่นี่แน่นอนค่ะ หัวหน้าพี่คัดเรซูเม่ของเด็กไทยออกหลายคนเลยทันทีที่เห็นระดับการศึกษา เพราะหัวหน้าคิดว่าน้อง ๆ ที่จบโทเหล่านั้น over-qualified
จะทำไงล่ะทีนี้.. ก็เรามาที่ออสฯเพื่อมาต่อโทนี่นา แล้วจะเริ่มงานออฟฟิสได้ที่ไหน หรือจะต้องลงเอยที่ก้นครัวเหมือนตอนเรียน หรือกลับบ้านดี ..
วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้เค้าอ่านเรซูเม่ของเราก็คือ จัดลำดับให้สิ่งที่สำคัญสำหรับงานนั้นมากที่สุดไว้หน้าแรกและตอนต้นของหน้า น้อง ๆ อาจจะอยากถามว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเค้าต้องการอะไร อ่านประกาศงานให้ละเอียดค่ะ สิ่งที่เค้าต้องการอยู่ในนั้นหมด ประสบการณ์ด้านไหน กี่ปี ทักษะด้านไหนที่เค้าต้องการ และด้านไหนที่จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เอามาใส่ให้หมดในหน้าแรกเป็นแบบสรุปทักษะและประสบการณ์โดยย่อค่ะ แต่ห้ามโกหกนะคะ ถ้าเค้าจับได้ตอนสัมภาษณ์ล่ะก็ นอกจากจะหมดหวังเรื่องได้งานแล้วอาจจะได้มีกังวลเล็กน้อยถ้าหากบริษัทที่เรียกเราไปสัมภาษณ์เป็นบริษัทจัดหาพนักงาน เพราะเค้าอาจเน็ทเวิร์คถึงกันว่าชื่อนี้ ๆ แอบอ้างประสบการณ์เพื่อให้ได้งาน
เมื่อได้แนวที่ต้องการแล้วก็มาร่างเรซูเม่จากโครงสร้างพื้นฐานต่อไปนี้ค่ะ
ตอนต้นของแผ่นแรกควรมี ชื่อเต็ม ที่อยู่ อีเมล และ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ทุกเวลา เพราะฉนั้นให้เบอร์มือถือไปเลยค่ะ
ย่อหน้าถัดมาก็เป็นการอธิบายตัวเองโดยย่อ อธิบายตัวเองนี่ไม่ได้หมายถึงว่าเราเป็นใคร มาจากไหนนะคะ แต่เน้นถึงตัวเราที่เกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานและทักษะที่สำคัญสำหรับงานที่เราสมัคร ย่อหน้านี้เรียกง่าย ๆ ว่า Summary
ถัดลงมาคือทักษะและความสามารถที่ตรงกับงานที่เค้าต้องการ จะเขียนยังไงนี่แล้วแต่สะดวกค่ะ เป็นหัวข้อลงมา หรือจะเป็นประโยคคั่นด้วยตัวคอมม่า แต่พี่แนะอย่างหลังดีกว่าค่ะ เพราะประหยัดเนื้อที่ จะได้มีที่ว่างด้านล่างพอสำหรับประวัติงานล่าสุดของเรา
ถัดจากนี้เราก็สามารถลงประวัติการศึกษาได้ ข้อควรสังเกตก็คือ ถ้าหากประกาศงานไม่ได้ลงระดับการศึกษาที่ต้องการก็แปลว่าเค้าไม่เน้นความสำคัญในดีกรีที่เราจบมาเท่ากับประสบการณ์ แต่ถ้าเราจบมาตรงเป๊ะ และประสบการณ์ของเราไม่แข็งแรงพอก็เอาการศึกษาขึ้นมาไว้ตรงนี้ได้ ถ้าดีกรีที่เราจบมาไม่ค่อยตรง แถมจบสูงอีกต่างหาก (ปริญญาโทที่นี่ถือว่าสูงค่ะ คนที่นี่ส่วนใหญ่ยังเลือกเรียนปริญญาโทเพื่อเป็นการสร้างเสริมหน้าที่การงานมากกว่าที่จะเรียนทันทีหลังจบตรี ดังนั้นเราจึงเห็นนักเรียนโทฝรั่งที่แก่กว่าเราเยอะ) ก็เอาดีกรีไปไว้ด้านล่างต่อจากประสบการณ์ ซึ่งก็หมายถึงหน้าที่ 2 หรือ 3 ไปแล้ว ถ้าคนอ่านอ่านมาถึงหน้านี้ก็แปลว่าเค้าประทับใจในส่ิงที่อ่านพอสมควรแล้วค่ะ
ถัดลงมาคือประสบการณ์ พยายามให้คำอรรถาธิบายให้มาก ๆ แต่แค่ 3 ตำแหน่งล่าสุดเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่ต้องระบุนอกเหนือจากตำแหน่งที่เราทำงาน ระยะเวลาในตำแหน่งนั้น ชื่อบริษัท และหน้าที่หลักในตำแหน่ง สิ่งที่คนอ่านต้องการจากเรซูเม่ของเรามากกว่านั้นคือ ความสำเร็จหรือผลงานโดดเด่น (Achievement) ผลงานในที่นี้ไม่ใช่แค่ว่าเราทำหน้าที่ได้ตามที่บริษัทต้องการนะคะ บอกก่อนเลยว่าไม่ว่าบริษัทไหน ๆ ก็อยากได้พนักงานที่ทำงานเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่แค่มาทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อย่าลืมค่ะ ว่าฝรั่งมีวัฒนธรรมการทำงานที่ต่างจากเรา เค้าไม่ต้องการคนที่มานั่งรอรับคำสั่ง เค้าต้องการคนที่พร้อมลุย กล้าตัดสินใจ กล้านำเสนอ ระบบอาวุโสของฝรั่งไม่มีค่ะ ไม่เหมือนบ้านเรา ไม่ต้องกลัวว่าจะไปเหยียบเท้าหรือถอนหงอกคนที่อยู่มาก่อนเรา ยิ่งเรากล้าโต้แย้งในสิ่งที่เราคิดว่าถูกเค้ายิ่งชอบ เพราะนั่นหมายถึงเราทำด้วยใจ ไม่ใช่ตามหน้าที่ เพราะคนที่ทำงานด้วยใจรักจะพาให้บริษัทโตไปด้วย สรุป สมมุติ ถ้างานเดิมเราเป็นเซลล์แล้วเราปิดยอดขายได้ตามที่บริษัทกำหนดไว้ทุกไตรมาสนี่ ในสายตาฝรั่งไม่ใช่ความสำเร็จค่ะ เค้ามองแค่ว่าเราทำงานได้ตามหน้าที่ ผลงานที่สามารถนำมาร่ายละเอียดในเรซูเม่ได้และฝรั่งอ่านแล้วจะอยากสัมภาษณ์เราทันทีก็อย่างเช่น สมมุติเป็นเซลล์ เราปิดยอดขายได้ 150% ทุกไตรมาส แถมเปิดตลาดใหม่ให้บริษัท เปิดช่องทางขายใหม่ให้บริษัท คิดโปรแกรมฝึกพนักงานขายใหม่ให้บริษัทส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในปีงบประมาณนั้น เป็นต้น เนี่ยล่ะค่ะ เค้าถึงจะเห็นศักยภาพของเราว่ามีความตั้งใจทำงานจริง ทำงานด้วยใจรักและเกินร้อย และยังส่งผลโดยรวมถึงธุรกิจของบริษัทอีกด้วย ไม่ใช่แค่มาทำตามหน้าที่ให้จบไปเดือน ๆ ได้เงินแล้วค่อยว่ากันเดือนถัดไป
หากเราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานมาพอสมควรก็ไม่ต้องแจงรายละเอียดผลงานทุก ๆ งานค่ะ เพราะสิ่งที่เค้าต้องการรู้จริง ๆ ก็คือ งานไหน ๆ ที่เราไปทำเราก็สร้างผลงานให้กับตัวเองและส่งผลถึงบริษัททุกครั้ง และที่บอกไว้แต่แรกว่าแค่ 3 ตำแหน่งล่าสุดก็เพราะ ถ้าเราสัมภาษณ์ผ่าน เค้าจะขอบุคคลอ้างอิงที่เคยทำงานกับเราไม่นานจนเกินไป ดังนั้น 3 ตำแหน่งล่าสุดนี่เหมาะที่สุดค่ะ ถึงแม้จะบริษัทเดียวกันแต่เราอาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นหัวหน้าเราก็อาจจะไม่ใช่คนเดียวกัน งานที่ 4 ย้อนไปในอดีตเราบอกแค่ระยะเวลา ตำแหน่ง บริษัท หน้าที่หลัก และผลงานเด่นที่สำคัญและ/หรือตรงกับงานที่เราจะสมัครก็พอค่ะ
เมื่อแจงรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ ผลงาน และการศึกษาแล้วก็มาถึงเรื่องอื่น ๆ อย่างเช่น ความสนใจส่วนตัว ประกาศนียบัตรวิชาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากการเป็นนักเรียน อย่างเช่น คะแนนสอบโทอิก (สำหรับงานในไทย) เป็นต้น เท่าที่พี่ศึกษามาสมัยหัดเขียนเรซูเม่ฉบับฝรั่งเนี่ย ใบรับรองอะไรมีเท่าไหร่ใส่ไปให้หมดค่ะ บ่งบอกว่าเราเป็นคนสนใจใฝ่รู้ แต่อย่าพร่ำเพร้อมากเกินไปนะคะ เอาแค่ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับสายงานที่เราสมัครพอ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นก็คือ ถ้าเราจะสมัครงานการตลาด และเราผ่านข้อสอบนักโฆษณาของกุเกิ้ลก็สามารถเอามาลงได้ แต่ใบรับรองผ่านหลักสูตรดำน้ำนี่เก็บเป็นความภาคภูมิใจของตัวเองเถอะค่ะ ใบรับรองจากความสนใจส่วนตัวแบบนี้ไม่ต้องลงในเรซูเม่แต่สามารถนำไปคุยได้ถ้ามีโอกาสในขณะสัมภาษณ์งาน ส่วนความสนใจด้านอื่น ๆ หรืองานอดิเรกอันนี้พี่ล่ามก็สองจิตสองใจค่ะ แต่ส่วนตัวแล้วพี่ล่ามคิดว่าส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องลงไว้เลย นอกเสียจากว่าเราจะสมัครงานในนิตยสารแฟชั่น แล้วงานอดิเรกที่แท้จริงของเราคือดีไซน์ชุดของตัวเอง เป็นต้น อันนี้ก็น่าลงค่ะ แต่งานอดิเรกของเราส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้องาน พี่ล่ามเห็นว่าความสนใจส่วนตัวตรงนี้นำไปคุยกับผู้สัมภาษณ์ได้เมื่อมีโอกาส
ส่วนสุดท้ายล่างสุดคือบุคคลอ้างอิง (Reference) โดยทั่วไปแล้วและค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกันคือ ผู้สมัครงานจะไม่ลงรายละเอียดไว้ค่ะ โดยมากมักจะบอกแค่ว่า Available upon request พี่ล่ามคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านเจอว่ามีบริษัทหาพนักงานจัดการโทรไปที่บริษัทและถามหาบุคคลอ้างอิงที่เค้าอ่านเจอในเรซูเม่โดยไม่ได้บอกผู้สมัครก่อน ผลก็คือบุคคลอ้างอิงรับสาย แต่กลายเป็นเรื่องสับสนขึ้นมาเนื่องจากผู้สมัครยังไม่ได้แจ้งให้บุคคลอ้างอิงทราบว่าตัวเองกำลังหางาน ดังนั้นรอให้แน่ใจเสียก่อนว่าเราน่าจะได้งานนั้นแน่ ๆ (โดยมากเมื่อถึงขั้นขอบุคคลอ้างอิงแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วค่ะ ส่วนใหญ่เค้าแค่ต้องการสอบถามแนวทางลักษณะการทำงานของเรามากกว่า) แล้วค่อยแจ้งชื่อและเบอร์ติดต่อของบุคคลอ้างอิงให้เค้าทราบ ที่เราไม่ต้องระบุบุคคลอ้างอิงไปก่อนที่เค้าจะขอก็เพราะว่าข้อมูลสมัยนี้หาได้ง่ายดายในอินเตอร์เน็ต แค่เค้าหาชื่อบุคคลและบริษัทใน LinkedIn ก็เจอแล้วค่ะ เบอร์โทรศัพท์ก็กุเกิ้ลเอาได้ สิ่งที่พี่ล่ามอยากเตือนอีกอย่างเกี่ยวกับบุคคลอ้างอิงก็คือ เราต้องแจ้งคนที่เราจะขอให้เป็นบุคคลอ้างอิงทราบก่อนล่วงหน้าว่าอาจจะมีคนโทรมาเพราะเราไปสมัครงานไว้ เค้าจะได้เตรียมตัวถูก และยิ่งถ้าเราบอกคนสัมภาษณ์ได้ว่าบุคคลอ้างอิงของเราจะว่างรับสายตอนไหน คนสัมภาษณ์ยิ่งชอบค่ะ ไม่เสียเวลาเค้า และไม่เสียเวลาเราด้วย เพราะถ้าเค้าโทรไปแล้วได้แค่ฝากข้อความเค้าก็ต้องรอจนกว่าจะได้คุยซึ่งก็หมายถึงวันเริ่มงานของเราก็ช้าตามไปด้วยค่ะ โดยมากคนสัมภาษณ์มักจะขอบุคคลอ้างอิงที่เคยเป็นหัวหน้าโดยตรงของเราหรือยังเป็นหัวหน้าของเราอยู่ทั้งหมด 2 คนค่ะ มีบริษัทหางานบางแห่งที่อาจจะขอบุคคลอ้างอิงสำหรับบุคลิกส่วนตัวของเรา (character reference) ตรงนี้เราใช้เพื่อนร่วมงานที่สนิทได้ค่ะ
สุดท้ายที่พี่ล่ามอยากให้น้อง ๆ ใส่ใจให้ดีก็คือสิ่งต่อไปนี้ค่ะ
- โครงสร้างประโยคและตัวสะกด ถ้าเรซูเม่สะกดผิดสะกดถูก แกรมม่าไม่ถูกต้อง ไม่สม่ำเสมอเนี่ย เค้าจะมองว่าเราเป็นคนไม่ละเอียดรอบคอบ
- ใช้ตัวอักษรที่ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป
- พยายามรักษาโครงสร้างของเรซูเม่ให้สม่ำเสมอ ดูเป็นทางการ
- ที่อยู่อีเมลของเรา อีเมลที่เราเปิดใช้เมื่อตอนอายุ 15 ที่เราคิดว่าน่ารัก คิขุ หรือเท่บรมน่ะ อย่าเอามาใช้หางานค่ะ จำพวก barbiegirl@ หรือ casanova@ หรือ amcute@ ทั้งหลายนี่เก็บไว้ใช้ส่งกับเพื่อน ๆ เถอะค่ะ คนอ่านเรซูเม่ที่เห็นอีเมลเหล่านี้เค้าอาจคิดว่าเรายังไม่โตพอพร้อมสำหรับโลกของการทำงานค่ะ อีเมลสำหรับหางานควรจะฟังดูโปรเฟสชันนอล อย่างเช่น เป็นชื่อจริงของเรา หรืออย่างมากแค่มีตัวเลขตามหลังชื่อ
- ใส่เลขหน้า ชื่อของเรา และอีเมลหรือเบอร์ติดต่อเป็น footer ของเรซูเม่ทุกหน้า อย่าลืมว่าคนอ่านเรซูเม่บางทีต้องนั่งคัดจากร้อย ๆ ฉบับ บางครั้งอาจลืมเย็บเรซูเม่ติดกัน ถ้าแผ่นหนึ่งแผ่นใดของเราหายไปแล้วเค้าบังเอิญเจอเรซูเม่ของเราที่ไม่ใช่หน้าแรก (ซึ่งมีรายละเอียดการติดต่อของเราอยู่ด้านบน) แต่กลับสนใจอยากอ่านเพิ่มขึ้นมาเค้าจะได้เห็นชื่อของเราจาก footer รู้ว่าหน้าไหนที่อ่านอยู่ และถ้าเค้าสนใจเราจริง ๆ เค้าก็สามารถติดต่อเราได้เลย ไม่ต้องกลับไปหาชื่อเราใน inbox อีก
- ควรปรับแต่งเรซูเม่ทุกครั้งในแต่ละงานหรือสายงานที่เราสมัคร อย่าลืมว่าเราต้องลงทักษะและความสามารถให้ตรงกับประกาศงาน และเพราะประกาศงานยังลงไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นเรซูเม่ฉบับเดียวอาจจะหมาะสำหรับหนึ่งงานแต่ย่อมไม่เหมาะสำหรับทุกงาน
- เวลาสมัครงานอย่าลืมเขียน cover letter ใส่ในอีเมลที่สมัครด้วยนะคะ ตัว cover letter นี้มีหน้าที่หลัก ๆ คือแนะนำตัวเราโดยย่อ (ที่เกี่ยวกับงาน) ทำไมเราถึงสนใจในงานที่เรากำลังสมัคร และคิดว่าเรามีความสามารถหรือทักษะด้านใดที่ดีและโดดเด่นที่จะสามารถส่งเสริมธุรกิจของเค้าได้หากเค้าจ้างเรา
เมื่อได้โครงหลักของเรซูเม่แล้วก็เริ่มต้นหางานด้วยความมั่นใจกันค่ะ แหล่งงานที่มีทั้งงานในไทยและออสซี่ก็ต้องที่นี่เลยค่ะ Jora Thailand สำหรับงานในไทย และ Jora AU สำหรับงานในออสซี่ ขอให้น้อง ๆ ทุกคนโชคดี ไว้คราวหน้าจะพูดถึงวิธีสัมภาษณ์งานให้เค้าประทับใจค่ะ
ถ้าต้องการสอบถามพี่ล่ามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนเรซูเม่ หรือรู้สึกไม่แน่ใจอยากให้พี่ล่ามช่วยทวนให้ก็บอกได้นะคะ พี่ล่ามชอบเห็นคนไทยได้ทำงานกับฝรั่งค่ะ ฝรั่งประทับใจนิสัยตั้งใจทำงานของพวกเราชาวเอเชียน แต่อย่างที่เค้าบอก เรซูเม่นี่เหมือนกับหน้าตาเราเลยค่ะ เค้าจะวัดเราจากเรซูเม่ก่อนเจอเราเพราะฉะนั้นเราต้องทำให้หน้าตาของเราน่าอ่านที่สุดค่ะ